วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

9. พรรษาที่ 2 พ.ศ. 2487 วัดทุ่ง - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ



 พรรษาที่  2  พ.ศ. 2487
วัดทุ่ง  บ้านหนองอีนิน   อำเภอเลิงนกทา

พรรษาที่สองนี้  ข้าพเจ้าจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่ง  บ้านหนองอีนิน  และบ้านหนองชาติ  ซึ่งมีท่านพระอาจารย์เกิ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่  ได้ทำความเพียรพอสมควร

        ระหว่างพรรษามีเหตุการณ์แปลกเกิดขึ้น  ซึ่งจะขอเล่าเพื่อความสมบูรณ์ของประวัติที่ผ่านมาคือ  ได้เห็นหญิงคนหนึ่ง  ซึ่งข้าพเจ้าเคยพบเห็นมาตั้งแต่สมัยข้าพเจ้ายังรุ่นหนุ่มทำราชการอยู่กรมทางหลวง  เขาเป็นสาวใหญ่  อายุมากกว่าข้าพเจ้ามาก  นิสัยว่ากันว่าเป็นคนเจ้าชู  เคยเห็นเขาเดินทางไปมาระหว่างอำเภออำนาเจริญและตัวจังหวัดอุบลราชธานีบ่อย ๆ ไม่ทราบว่าเขาเป็นคนบ้านไหน  เมื่อข้าพเจ้าบวชมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านหนองอีนินนี้  ก็ได้เห็นหญิงคนนี้อีก  แต่ตอนนี้ร่างกายทรุดโทรม ผอมมาก  ดูท่าทางแก่ไปถนัดใจ  เขามาจากบ้านหนองอีนิน  ถือหม้อยาเร่ร่อนมาอาศัยนอนอยู่ในลานวัด  ใต้ร่มไม้ฉำฉา  หญิงคนนี้เป็นคนเดียวกันกับท่านอาจารย์เจ้าวัด  มาอาศัยวัดต้มยากินอยู่ไม่นาน  ก็นอนตายอยู่ใต้ร่มไม้ฉำฉานั่นเอง  โดยวันหนึ่งตอนเช้าญาติโยมมาถวายจังหันพระที่วัดเห็นหญิงนอนนิ่งไม่ไหวติง  โยมทิดสรวงซึ่งเป็นญาติหญิงนั้นเข้าไปปลุก  พอไปปลุกไปดู  ถึงได้รู้ว่าหญิงคนนั้นตายเสียแล้ว  นอนตายตัวแข็งอยู่อย่างไร้ญาติขาดมิตร


ภาพประกอบการพิจารณาอสุภกรรมฐาน


         เป็นเรื่องเอิกเกริกพูดกันไปทั้งวัด  เพราะญาติโยมมาเล่าให้ฟังว่า  พอไปดูศพเปิดผ้าห่มของหญิงคนนั้นออก  ก็เห็นหนอนชอนไชอยู่ตามตัวหญิงคนนั้นเต็มไปหมด   ศพเหม็นคลุ้งแล้ว  ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเวลาคืนเดียวเหตุใดจึงมีหนอนมาขึ้นศพมากมายเช่นนั้น  โดยเฉพาะที่ทวารเบามีหนอนเจาะไชกัดกินจนเป็นรูใหญ่  หนอนบางตัวมีขนก็มี  น่าสยดสยองสังเวชมาก  ญาติของหญิงคนนั้น  เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า  เขารู้ประวัติหญิงคนนี้ดี  เป็นคนเจ้าชู้สำส่อน  จึงเป็นโรคบุรุษหรือกามโรค  ยิ่งมาตายในวัดในวาเวลาตายจึงเกิดกรรมเห็นทันตา  มีหนอนขึ้นเจาะไชเช่นนั้น  

       คราวแรกที่เห็นศพหญิงคนนั้น  ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปพิจารณาเพ่งดูใกล้ ๆ เพื่อพิจารณาซากอสุภะให้ถนัดตาอีกครั้งหนึ่ง  แต่เมื่อฟังเรื่องทั้งหมดแล้วได้เกิดความสลดสังเวชเบื่อหน่ายมาก   จิตใจดิ้นรนในความเบื่อหน่ายมากจนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเข้าไปพิจารณาโดยใกล้อีก  พวกชาวบ้านแม้แต่เด็กเล็กก็ไปมุงดูกันแน่น  เพื่อดูผลของกรรม  เขาต้องรีบเอาไปเผาที่ป่าช้าให้หายอุจาดตา

 ศพนี้นับเป็นซากอสุภะที่สองที่ข้าพเจ้าได้เคยเห็น

        พอออกพรรษา  ข้าพเจ้าได้เข้าไปปรับปรุงวัดใหม่โดยเห็นว่าวัดเก่าที่อยู่กลางทุ่งนั้นไม่เหมาะไม่ดี  เลยเข้าไปปรับปรุงวัดใหม่  ที่ดอนเมือง  ที่นั่นเขาเรียก  ดอนเมือง  ดอนเจ้าผี  ดอนเจ้าปู่ตาของเรา  เขาถือว่าเป็นดอนที่ศักดิ์สิทธิ์เขายำเกรงมาก  ที่นั้นเป็นที่ซึ่งบริบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ๆ เป็นดง  ร่มเย็น  มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์  อย่างเก้ง  ช้าง  เต่า  ตะกรด  มาก  งู  ก็มากเช่นกัน  เหมาะจะเป็นที่วิเวกแสวงธรรม  ข้าพเจ้าก็เลยพาหมู่พวกไปธุดงค์ในที่นั้น  ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นอากาศดี   เลยตั้งวัดตั้งวาขึ้น  ณ  ที่นั้นชื่อว่า  วัดบ้านนาจิก  ดอนเมือง  ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบันนี้

      เมื่อไปอยู่ใหม่  พบเศียรพระพุทธรูปก็มี  แขนพระพุทธรูปก็มี  และได้วัตถุของโบราณ  ฝังดินไว้ลึก  ณ  จากที่ดอนแห่งนั้นเป็นจำนวนมาก  เข้าใจว่าสมัยโบราณคงจะเคยเป็นวัดเก่าและร้างไปนานแล้วนับเป็นวัดแรกที่สร้างขึ้น


วัดป่าบ้านนาจิก ต.หนองปลิง อ.อำนาจเจริญ ในภาพเห็นโบสถ์ตั้งอยู่ในบริเวณอันร่มรื่น
เป็นวัดแรกที่ท่านอาจารย์สร้าง และท่านได้อยู่จำพรรษาที่ 3 ณ.วัดนี้

ศาลาวัดป่าบ้านนาจิก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น