วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

10.พรรษาที่ 3 พ.ศ.2488 วัดบ้านนาจิก - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ



พรรษาที่  3  พ.ศ.  2488
วัดบ้านนาจิก    ดอนเมือง   ตำบลหนองปลิง

ในปี  2488  ข้าพเจ้าได้จำพรรษาอยู่  ณ  วัดบ้านนาจิก  ดอนเมือง  ตำบลหนองปลิง  อำเภออำนาจเจริญ  อันเป็นวัดที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่  ท่านพระอาจารย์บุเจ้าคณะอำเภอ  ก็สนับสนุน  ด้วยเป็นบ้านเดิมของท่านพรรษานี้ข้าพเจ้าได้อธิษฐานทำความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยว  คือจะฉันเจ  จะไม่หลับไม่นอน  และจะตั้งอกตั้งใจทำความพากความเพียรตลอดพรรษา  ในระยะนั้น  ยังใช้คำบริกรรม  “ พุทโธ “  เป็นพื้น  แต่ก็มีการพิจารณาร่วมไปด้วย

        เมื่อทำไป  อดนอนไป  พอถึงกลางพรรษา  ได้เกิดอาการวิปริตทางธาตุ  คือ  ธาตุขันธ์ไม่อำนวย  มีน้ำมันสมองไหลออกมาจากทางจมูก  เป็นน้ำสีเหลืองไดเอาฝ่ามือรองดูปรากฏเป็นสีเหลือง  มันย้อยหยดลงมาจากมันสมองมาตามช่องจมูก  เหม็นคาวจัด  เป็นอยู่เช่นนี้มานานวัน  จึงได้กราบเรียนท่านอาจารย์ผู้เป็นเจ้าอาวาสให้ทราบ  ท่านเลยมาสังเกตดู  ได้เห็นตาของข้าพเจ้าเหลืองไปหมด  เหมือนตานกเค้าหรือตานกเหยี่ยว  ท่านพระอาจารย์เห็นอาการวิปริตผิดปกติเช่นนั้นก็เลยอ้อนวอนขอร้องให้ข้าพเจ้าหลับนอนพักผ่อนเสียบ้างมิให้อดนอนไปตลอดระยะแรกข้าพเจ้ายังไม่ยอมทำตามคำแนะนำของท่าน  ยังคงอดนอนอยู่อย่างเดิม

          การอธิษฐานไม่นอนนี้  นอกจากจะไม่ยอมให้พลังลงแตะพื้นแล้ว  จิตต้องมีความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา  ไม่ให้ตกภวังค์หลับแม้แต่ขณะจิตเดียว  ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถ   เดิน  ยืน  หรือ  นั่ง
 
ต่อมาตาได้เหลืองมากขึ้น  ท่านเลยมาบังคับขู่เข็ญคำราญให้นอนพัก  บอกว่า  “ ถ้าไม่หลับ  ไม่นอนไม่ได้นะท่านจวนทำแบบนี้ใช้ไม่ได้  เดี๋ยวตาบอด  ตาเสียนี่ “  ข้าพเจ้าถูกบังคับก็เลยต้องยอมหลับบ้างเล็กน้อย  แต่ยังไม่เลิกละคงทำความเพียรอยู่  แต่ก็มีการพักผ่อนหลับนอนปนกันไป


         ในพรรษาที่  3  นี้ได้เกิดปฏิพัทธ์รักใคร่หญิงสาวคนหนึ่ง  ซึ่งเคยเอาจังหันมาถวายบ่อย  ๆ มีความรัก  ความกำหนัด    แต่ก็ยังทำความเพียรไปตลอดไม่หยุดหย่อน  ไม่ได้ปริปากบอกให้ใครทราบ  รักอยู่แต่ในใจ  ต่อมาจึงคิดอุบายขึ้นมาได้  โดยตั้งอธิษฐานถึงท่านพระอาจารย์มั่น  ภูริทัตโตเถระ  เพราะสมัยนั้นข้าพเจ้าได้ยินแต่ชื่อท่าน  แต่ยังไม่เคยพบ   กราบไหว้ท่านเลย  ตั้งอธิษฐานว่า  “ ถ้าข้าพเจ้ายังมีบุญวาสนาเจริญอยู่ในเพศพรหมจรรย์แล้ว  ถ้าข้าพเจ้าจะได้บรรลุในคุณธรรม  ขอให้ได้มีนิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่น  ภูริทัตโต  ให้ได้ไปกราบไหว้ท่าน  หรือสนทนากับท่าน  ได้ฟังธรรมเทศนาของท่านให้ได้เป็นที่พอใจ    แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่มีบุญวาสนาแล้วขออย่าได้บรรลุหรืออย่าได้นิมิตเห็นท่านพระอาจารย์มั่นเลย  ให้เห็นนิมิตแต่สิ่งที่ลามก  น่ารังเกียจ  ซึ่งไม่เป็นที่น่าปรารถนาเถิด “  

        พออธิษฐานแล้วก็ทำความพากเพียรไประยะห่าง  3  วันเท่านั้นจากวันอธิษฐาน  ขณะที่พักผ่อนก็เลยนิมิตว่า  ข้าพเจ้าได้เดินทางไปสู่สำนักท่านพระอาจารย์มั่น  เข้าไปสู่วัดของท่านพอดีเห็นท่านอยู่ที่กลางลานวัด  ในนิมิตนั้นพอเห็นท่านเข้า  ก็รู้ขึ้นมาในใจทันทีว่า  นี่คือท่านพระอาจารย์มั่น  รู้สึกผูกพันคุ้นเคย ๆ คล้าย  ๆ กับเคยอยู่ร่วมกับท่านมาช้านานแล้ว  โอ....นี่ท่านเหมือนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรา  พอท่านเหลือบตามาเห็นข้าพเจ้า  ท่านก็ทักอย่างดีใจว่า  “ อ้อ......ท่านจวนมาแล้ว  ท่านจวนมาแล้ว  .....  ท่านจวนมาแล้วอย่างนี้  คล้าย ๆ กับพ่อเห็นลูก  ลูกเห็นพ่อ  ท่านกำลังกวาดลาดวัดอยู่  ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าไปจะกราบนมัสการท่าน  พอไปถึง  ท่านก็โก่งหลังเลย  บอกว่า  “  เอ้า..ท่านจวน  มาขึ้น  เร็ว...  รีบ ๆ มาขึ้น  ขึ้นหลังนี่  “

       ข้าพเจ้าตกใจ  ละล้าละลัง  ท่านก็คะยั้นคะยอ “ เร็ว  เร็ว ๆ ซี ขี่ซี “

       บอกท่านว่า  “ โอ๊ย...ผมยั่น  บาปครับ  กลัวบาป  ครับ “

       ปฏิเสธอย่างไรท่านก็ไม่ยอมฟัง “ เอ๊า  มา  บอกให้มาขี่หลัง  ขี่  ซี “  ท่านทั้งเอ็ด  ทั้งบังคับ  พร้อมทั้งโก่งตัวรอ  ข้าพเจ้าก็  จำเป็นต้องขึ้นขี่หลังท่านตามที่ท่านสั่ง

       ปรากฏในความฝันว่า  เมื่อขึ้นขี่แล้ว  ท่านก็พาเหาะไปในอากาศ  พาเหาะขึ้นไปสูงจนลิบเมฆเลยแล้วพาลงมาที่กลางภูเขาลูกหนึ่ง  แล้วก็บอกว่า  “ เอาละลงนี่แหละ  พอดีพอควรแล้ว “

ข้าพเจ้าตื่นจากนิมิต  มาพิจารณาดู ก็เกิดปิติยินดีการได้นิมิตเห็นท่านพระอาจารย์มั่น  ครั้งนี้นับเป็นมงคลอันสูงสุด  เป็นการได้เห็นตามคำอธิษฐานขอของเราคงแสดงว่าเรายังพอมีวาสนาบารมีอยู่   ในพรหมจรรย์ต่อไป  จึงกำหนดเร่งทำความเพียรพิจารณาอสุภะต่อไป  ในที่สุดความรักใคร่หญิงสาวผู้นั้นก็จืดจางหายไป

        เมื่อออกพรรษาได้  5  วัน  ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร ( มหาเส็ง   ปุสฺโส )  ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะภาคมาตรวจการคณะสงฆ์ภาคอีสาน  ได้แวะมาเยี่ยมตรวจดูที่วัดป่าบ้านนาจิก  ดอนเมือง  มาพบข้าพเจ้าก็เลยบอกว่า  จะมารับข้าพเจ้าไปอยู่ด้วยพระอาจารย์มั่นนัยว่า  ท่านพระครูทัศนวิสุทธิ ( มหาดุสิต  เทวิโร )  อุปัชฌาย์ของข้าพเจ้า  ได้บอกฝากข้าพเจ้าไว้กับท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร  มานานแล้ว  ว่าใคร่ขอฝากท่านจวนไปอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นด้วย  พอได้โอกาส  ที่ท่านผู้ช่วยเจ้าคณะภาคออกมาตรวจงาน  ท่านระลึกถึงคำฝากนั้นได้ดีอยู่  จึงเลยเอารถมารับข้าพเจ้าด้วย  

       นับว่าเป็นบุญของข้าพเจ้ายิ่งนักที่ได้มีโอกาสตามท่านเจ้าคุณอริยคุณาธารไปอยู่ด้วยท่านอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน  ที่เราเคยได้ยินแต่ชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว  และเพิ่งได้โอกาสกราบท่านมาหยก ๆ ในนิมิต  ได้เกิดอุบายมีกำลังใจจนสามารถฆ่ากิเลสมารให้ดับไปได้

      เป็นอันว่า  ข้าพเจ้าได้กราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นจริง ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตในครั้งนี้  ปรากฏว่าเมื่อได้เห็นตัวจริงของท่าน  ดูลักษณะ  กริยาต่าง ๆ รูปร่างหน้าตาของท่านก็เหมือนกับที่เห็นในนิมิตระหว่างพรรษานั้น  ไม่มีผิดแปลกเลย  

       พอเห็นหน้าข้าพเจ้า  ท่านก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี  “ เออ...มาแล้วรึ  ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณอริยะ  มาจากไหน  “

      “ จากอุบลครับผม “
     
       “ อำเภอไหน “

      “ อำเภออำนาจเจริญครับผม “  ข้าพเจ้าตอบ

      “ อ้าว...อยู่ทางเดียวกัน “

ท่านว่าอย่างเมตตา  และเมื่อเห็นข้าพเจ้ามีผิวขาวนัก  ท่านก็ทักว่าคงเป็นลูกจีน  ความจริงการที่ข้าพเจ้ามีผิวขาวนี้ทำให้หมู่พวกต่างพากันคิดทั้งนั้นว่า  ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาว  คงเป็นลูกจีนแน่นอน  ข้าพเจ้าต้องอธิบายว่าข้าพเจ้าไม่ใช่ลูกจีน  ข้าพเจ้าเป็นลูกชาวนา และเป็นลูกชาวอุบลเต็มตัว







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น