วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

12.พรรษาที่ 5–6 พ.ศ.2490 – 2491 จำพรรษาจังหวัดเชียงใหม่ - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ



พรรษาที่  5 – 6  พ.ศ.  2490 – 2491
จำพรรษา  ณ  จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อมาถึงจังหวัดเชียงใหม่  ข้าพเจ้าก็เข้าไปพักที่วัดเจดีย์หลวง  ซึ่งทราบว่าเป็นวัดที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเคยมาพัก  ท่านพระอาจารย์มั่นก็เคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่นเหมือนกัน  ระยะแรกได้พักวิเวกอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง  3  เดือน  คืนหนึ่งขณะไปนั่งภาวนาในโบสถ์มีนิมิตภาพเกิดขึ้นว่า  ปรากฏมีพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งมาหา  ท่านได้มาให้โอวาทตักเตือนว่า  

“ ท่านจวน  ถ้าท่านจะเป็นผู้ใหญ่เขานั้น  ท่านอย่าวางแผ่นดิน  เพราะความประพฤติของท่านยังไม่สม่ำเสมอ “    

       ท่านให้โอวาทดังนี้แล้วก็หายไป  ข้าพเจ้าจึงมากำหนดพิจารณาดูนิมิตนั้น  คำว่า  “ แผ่นดิน “  หมายความว่าให้มีความหนักแน่นเหมือนแผ่นดินนั่นเอง  เมื่อถูกกระทบกระเทือนจากอารมณ์ต่าง ๆ ก็อย่าทำใจให้วอกแวก  ให้มีสติกำหนดให้ใจตั้งมั่นเป็นสมาธิ  ไม่หวั่นไหวฟุ้งซ่านให้เป็นเหมือนแผ่นดิน  แต่เพื่อความกระจ่างแน่ใจปัญหาธรรมนี้  ข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายกราบเรียนถามท่านพระอาจารย์มั่น  ที่ท่านยังอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือ  อำเภอพรรณานิคม  จังหวัดสกลนคร  โดยด่วน

       “  กราบเรียนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง  เกล้ากระผมได้นั่งภาวนาแล้วเกิดนิมิต  ปรากฏมีเถระผู้ใหญ่มาตักเตือนว่า .....ท่านจวน   ถ้าท่านจะเป็นผู้ใหญ่เขานั้น  ท่านอย่าวางแผ่นดิน  เพราะความประพฤติของท่านยังไม่สม่ำเสมอ......ดังนี้  เกล้ากระผมเป็นผู้มีสติและปัญญาน้อย  ไม่สามารถจะรู้ว่าอะไรเป็นแผ่นดิน  ขอนิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์โปรดประทานให้โอวาทตักเตือนด้วย “  

       เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นได้รับจดหมาย  ก็รีบตอบมาโดยทันทีว่า  “ ถึงท่านจวนที่อาลัยยิ่ง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้แนะนำให้ท่านนั้น  ขอให้ท่านจงตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติดำเนินไปตามคำที่ผมแนะนำ   อย่าได้ประมาท  เพื่อจะได้เป็นเกียรติยศแก่พระพุทธศาสนาต่อไป “


วัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่


ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็เลยออกไปวิเวกตามแถบรอบ ๆ นครเชียงใหม่  ในระยะหนึ่งได้ออกธุดงค์ไปอยู่ที่อุโมงค์ใกล้สนามบินจังหวัดเชียงใหม่  เชิงดอยสุเทพ  ทางด้านตะวันตกของสนามบินมีเจดีย์เก่า ๆ อยู่องค์หนึ่ง  เขาทำเป็นอุโมงค์  มีถ้ำเป็นช่อง ๆ ข้าพเจ้าและหมู่เพื่อนพากันไปพักวิเวกที่นั้น  ตกกลางคืนได้นิมิตอีกปรากฏว่าข้าพเจ้ากับท่านพระอาจารย์มั่นได้พากันทำหีบศพอยู่ที่บนเจดีย์  และในขณะนั้นท่านเจ้าคุณคุณูปมาจารย์ ( จันทร์  สิริจนฺโท )  เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสได้เหาะมากลางอากาศ  แล้วมาหยุดยืนที่ตรงหน้าข้าพเจ้า  แล้วท่านก็ให้โอวาทว่า  “  ท่านจวน  อุเปกฺขินทริย์ “ แล้วท่านก็หายไป  

       ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตแปลดูว่า  อุเปกฺขินทริยํ  แปลว่าอะไร  ก็แปลได้ความว่าให้วางใจเป็นอุเบกขา  เป็นกลางจากอินทรีย์ทั้ง  6  คือ  ตา  หู   จมูก  ลิ้น  กาย  และใจ  เมื่อกระทบรูปเสียง   กลิ่น  รส  เครื่องสัมผัส  และธรรมารมณ์ดีก็ตาม  ชั่วก็ตาม  ให้วางใจเป็นอุเบกขาเป็นกลาง ๆ ด้วยความมีสติและปัญญา  อย่าเอาใจให้ฟั่นเฝือหลงใหลลุ่มหลงในอารมณ์ที่มากระทบ


ข้าพเจ้ากำหนดจิตคิดตามนิมิตนั้นว่า  พรุ่งนี้อาจมีอันตรายหรือเหตุการณ์อะไรอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเป็นแน่

        พอรุ่งขึ้น  หลังจากฉันเช้าเสร็จแล้ว  หมู่พวกได้ออกไปเที่ยวชมดูสถานที่ต่าง ๆ  ในเมืองเชียงใหม่  ยังแต่ตัวข้าพเจ้าอยู่คนเดียวในถ้ำนั้น  ในกลางวันก็มีพวกหญิงสาว ๆ สวย ๆ ดาราเชียงใหม่มาเที่ยวบริเวณนั้นได้ยินเสียงคุยกันลั่นว่า  แถวนี้มีพระธุดงค์เรามาค้นหาตุ๊เจ้ากันดีกว่า  มีหญิงสาวรูปสวยคนหนึ่งแยกจากหมู่มาเที่ยวค้นหาพระในถ้ำตามลำพัง  ค้นไปค้นมาก็มาเห็นข้าพเจ้านั่งภาวนาอยู่ในช่องถ้ำคนเดียว  เวลานั้นข้าพเจ้าได้ภาวนาอยู่ในกลด  แต่หญิงนั้นก็เข้ามาแหวกมุ้งกลดออก  และร้องเอะอะเสียงลั่น  “ นี่ตุ๊เจ้านี่  ตุ๊เจ้าอยู่นี่...ตุ๊เจ้าอยู่นี่ “

       หญิงสาวผู้นั้นยืนแหวกกลดเพ่งข้าพเจ้าอย่างไม่เกรงใจ  และยิ้มอย่างชวนเชิญ  ข้าพเจ้ามองดู  เห็นหน้าอกของเขาเต็มอก  พอสายตาลงต่ำลง  ก็มองเห็นผ้านุ่งบาง ๆ   เป็นซิ่นสเกิร์ตสั้น ๆ  ก็เลยเกิดความกำหนัดขึ้น  ข้าพเจ้าจึงคิดถึงคำเทศน์ของท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์  “ อุเปกฺขินทริย์ “  ก็เลยพิจารณาอุบายนั้นจิตก็คลายความฟุ้งซ่านและสงบลง  หญิงคนนั้นก็ไปป่าวร้องเพื่อนเข้ามาดูข้าพเจ้า  ตุ๊เจ้าสวย  บ้างเอาของเข้ามาถวาย  ข้าพเจ้าให้พรเขาแล้วเขาก็เลิกละไป    

       ข้าพเจ้าได้ทำความเพียรอยู่ที่ถ้ำนั้นพอประมาณแต่ต่อไปความสงบก็ลดลง  ต้องรีบหนี  เพราะกิตติศัพท์แพร่ไป  มีพวกหญิงสาวมาเล่นค้นหาพระกันมากขึ้นเวลาเสียงคนมา  พระรีบเอามุ้งกลดลง  แต่บางทีก็จะมีหญิงใจกล้าอย่างที่กล่าวแล้ว  มาเปิดมุ้งกลดดูพระส่งเสียงสรวลเสกัน  จึงต้องรีบหนี  แล้วก็ออกวิเวกต่อไปตามแถบเชียงใหม่  อำเภอสันกำแพงบ้าง  อำเภอแม่แตง  และแถบจังหวัดลำพูนบ้าง  โดยพยายามหลีกเร้นไปตามดอย  ตามป่าตามเขาที่สงัดห่างจากหมู่ชุมชน

        ได้จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่  2  พรรษา  แล้วก็เดินไปวิเวกที่จังหวัดเชียงราย  อยู่เชียงรายระยะหนึ่งก็คิดต่อจะเข้าไปเขตพม่า  เพื่อธุดงค์ไปให้ถึงเชียงตุงข้าพเจ้าเดินทางจากอำเภอแม่สายในเขตไทย  เดินถึง  7  คืน  7  วัน  จึงถึงเชียงตุง  เป็นการเดินทางด้วยเท้าเปล่าโดยตลอด  ทางเดินธุดงค์ก็เป็นทางเดินไปตามยอดดอยล้วน ๆ ไปกับเณรหนึ่งและโยมหนึ่งแล้วไปพักวิเวกอยู่บนยอดแห่งหนึ่ง  ซึ่งเรียกว่า  ดอยแตง  ซึ่งเขาทำวิหารไว้บนยอดดอยสำหรับพวกเขินและพวกเงี้ยว  อาศัยบิณฑบาตจากหมู่บ้านเชิงดอยโดยรอบนั่นเอง   ดอยนี้สงบสงัดดีมาก  เวลาพลบค่ำ  มีเสือมาร้องมาครางให้ฟังทุกวัน ๆ ข้าพเจ้าพักอยู่ที่ดอยแตงนี้ถึง  3  เดือน  จึงธุดงค์ต่อไป

การเดินทางไปวิเวกต่างแดนนี้  ดีอยู่สำหรับการจะไปเที่ยวชมพูมิประเทศป่าเขา  ลำเนาไพร  พบผู้คนบ้านช่อง  ขนบธรรมเนียม  วัฒนธรรมประเพณีที่แปลกตาไปจากเมืองไทยของเรา  แต่สำหรับการภาวนาภารกิจของสงฆ์นั้น  ถ้าได้อยู่วิเวกตามลำพังก็คงจะพบสถานที่อันสัปปายะแก่เราบ้าง  แต่ถ้าหากจะต้องอยู่ร่วมกับภิกษุพม่าแล้ว  ก็ออกจะมีความขัดข้องใจมากในเรื่องข้อวัตรปฏิบัติที่แตกต่างกัน  จนบางอย่างไม่ตรงกับธรรมวินัยพุทธบัญญัติเลย  บางแห่งจะพบพระชวนกันต้มข้าว   ทำอาหาร  ในตอนกลางคืน  ฉันกันอย่างหน้าตาเฉยบางแห่งจะเห็นพระลูกวัด  หรือแม้แต่เจ้าอาวาสเองจะนอนสูบฝิ่น  กินฝิ่นกันอย่างสุขารมณ์  และเขาเห็นเป็นธรรมดาด้วยจึงได้เชิญให้พระอาคันตุกะอย่างข้าพเจ้าร่วมฉันด้วย  ร่วมสูบด้วย  ร่วมกินด้วย

        สิ่งที่ทางไทยถือเป็นข้อบกพร่อง  ผิดศีล  ทำให้ศีลขาด  ศีลทะลุ  ศีลด่างพร้อย  ศีลเศร้าหมอง  แต่ทางโน้นจะมีความเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง  

       ส่วนผู้คนของเขา  แม้จะมีศรัทธาดี  แต่สำหรับสีกาแล้ว  จะต้องระมัดระวังสำรวมอินทรีย์ทั้ง  6  ให้มากยิ่ง  หญิงสาวเชียงตุงหลายแห่งที่พอเห็นข้าพเจ้าก็จะเอะอะกิ๊วก๊าวชักชวนเพื่อนมาดู

         “ดูเจ้าศีลธรรมองค์นี้    สวยแท้  สวยหลาย  ผิวก็งาม  หน้าก็งาม  ผู้หญิงไหน ๆ ก็สวยสู้ไม่ได้ ”  

       เขาพูดวิจารณ์กันดัง ๆ อย่างไม่ขวยเขินอะไร  และไม่นึกเกรงว่าพระจะเขินด้วย  รู้สึกว่า  เขาเห็นพระคล้ายเป็นหุ่นหรือท่อนไม้อะไรอย่างหนึ่งบางแห่ง   ไม่แต่หญิงสาวเอง  แม้แต่พ่อแม่ของหญิงก็จะพยายามเจรจาหว่านล้อมให้เราละเพศพรหมจรรย์  ไปครองชีวิตฆราวาสร่วมกับลูกสาวของเขา

        “  เฮารักตุ๊เจ้ากันจริง ๆ จักรก็เป็นของตุ๊เจ้า  บ้านก็ของตุ๊เจ้า  ไร่นาสาโทสมบัติทั้งหมดก็ของตุ๊เจ้า  เฮาจะยกให้ตุ๊เจ้าหมด   ขอแต่ให้ตุ๊เจ้าลาสิกขาบทอยู่กับเฮา  ให้เฮาได้ฝากผีเต๊อะ  

ที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้  มิใช่เป็นการอวดตัว  ยกตัวอะไร  แต่ก็เล่าให้เป็นคติเพื่อเพื่อนสหพรหมจรรย์พรรษาน้อยอย่างข้าพเจ้าในสมัยนั้นจะได้พยายามสังวรระมัดระวังกายใจ  มิให้ตกเป็นเหยื่อแก่กิเลสมารต่าง ๆ  เท่านั้น  

       การผจญกิเลสมารจากมาตุคามอันน่ากลัวนี้  แม้ระหว่างธุดงค์อยู่ในจังหวัดภาคเหนือก็ได้ประสพอีกหลายครั้งอยู่เหมือนกัน  อาทิเช่น   วันหนึ่งข้าพเจ้าไปบิณฑบาตรในหมู่บ้านที่เคยไปบิณฑบาตร  เห็นหญิงสาวคนหนึ่งมายืนรอใส่บาตรอยู่ข้างทางห่างจากหมู่เพื่อน  เมื่อหญิงนั้นเห็นข้าพเจ้าก็ร้องนิมนต์  ข้าพเจ้าจึงตรงเข้าไปรับบาตร  พอเปิดฝาบาตรเตรียมจะรอรับอาหาร  หญิงสาวคนนั้นก็ชะงักกริยาที่จะถวายอาหาร  กลับวางถาดและขันข้าวลงเสีย  แล้วขยับผ้านุ่งคลี่ออกเป็นวงกว้างอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า  เขาไม่ได้มีเครื่องนุ่งห่มชั้นในชิ้นใดปกปิดร่างกายเลย  จึงเท่ากับมาเปลือยกายส่วนล่างอยู่ต่อหน้าพระนั่นเอง  ข้าพเจ้ายังเป็นปุถุชนอยู่  จึงเกิดความรู้สึกในทางใคร่ขึ้นมาบ้าง  แต่ก็มีสติทัน  จึงรีบปิดฝาบาตรเดินหนีไปในทันที  และในวันนั้นก็ได้ออกเดินทางจากหมู่บ้านนั้นไปเลย  

อีกครั้งหนึ่ง ระหว่างท่องเที่ยวอยู่ในจังหวัดภาคเหนือเช่นเดียวกัน  ในบรรดาญาติโยมที่คอยอุปฐากอยู่นั้น  มีหญิงสาวรูปสวยคนหนึ่งคอยถวายจังหันข้าพเจ้าเป็นประจำ  หญิงนั้นเป็นน้องสาวนายอำเภอ  และเป็นผู้มีกริยามารยาทแช่มช้อย  แต่ก็มักจะส่งสายตามาให้ข้าพเจ้าเสมอ  ประกอบทั้งผู้ปกครองของเขา  ก็ได้พูดจาเป็นเชิงสนับสนุนให้ข้าพเจ้าสึกหาลาเพศออกมาอยู่ช่วยทำมาหากินด้วย  ข้าพเจ้าพยายามเจริญอสุภะเท่าใด  ก็ไม่ค่อยเป็นผล  ออกจะมีใจเขวไปบ้าง  จนถึงกับคิดว่า  นี่เราจะหมดบุญในทางเพศพรหมจรรย์หรืออย่างไร  คืนวันนั้น  กำลังอยู่ในระยะตัดสินใจเรียกว่า  “ จะอยู่หรือจะไป “ กันนี่แหละ  จึงอธิษฐานว่า  ถ้าหากข้าพเจ้าจะได้มีวาสนาได้เห็นธรรมเจริญต่อไปในทางพระพุทธศาสนา  ก็ขอให้มีเหตุใดเหตุหนึ่งมาช่วยคลี่คลายเรื่องที่กำลังประสบนี้ด้วยเถิด

เช้าวันต่อมา  เมื่อออกบิณฑบาตหญิงสาวผู้นั้นก็มายืนรอใส่บาตรตามเคยข้าพเจ้าพยายามไม่มองหน้าหญิงนั้นเลยพอเปิดฝาบาตรจะรับบาตร  ก็ให้บังเอิญว่า  ผ้าประจำเดือนของหญิงนั้นได้หลุดลงที่พื้นดินแม้หญิงนั้นจะตกใจ พยายามใช้เท้าเหยียบให้จมโคลน ปกปิดภาพของจริงไว้ แต่ข้าพเจ้าก็ทันเห็นเลือดสีแดงเต็มตา  ในใจเกิดความรู้สึกสลดสังเวชขึ้นมาทันที  ด้วยเห็นถนัดเป็นของปฏิกูลพึงรังเกียจระลึกมาได้ว่า  เราได้อุตส่าห์สละชีวิตจากเพศฆราวาส  มาสู่เพศบรรพชิตหนีจากของต่ำมาหาของสูงแล้วเรายังจะย้อนกลับไปหาชีวิตที่เราสละแล้วอีกหรือ   ได้คิดเช่นนี้  ข้าพเจ้าจึงปิดฝาบาตร  กลับหลังสู่ที่พักโดยไม่ยอมบิณฑบาตหรือรอฉันจังหัน  เร่งแต่งของ  และหนีออกไปจากที่นั้นทันที

       ประสบการณ์เหล่านี้  ในภายหลังเมื่อได้มีโอกาสมากราบนมัสการท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น  ข้าพเจ้าก็ได้เล่าถวายให้ท่านฟัง  โดยเฉพาะความรู้สึกที่ระยะแรกยังตัดไม่ขาดจากอารมณ์ปุถุชน  ท่านฟังแล้วก็ว่าเป็นธรรมดาของพระหนุ่มจะต้องพบเหตุการณ์เช่นนี้  ความสำคัญอยู่ที่ว่าจะต้องเจริญกรรมฐานต่อสู้เอาชนะกิเลสมารตัวร้ายนั้นอย่างไรต่างหาก

       ขณะที่อยู่เชียงตุงนั้น  ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะเดินทางไปอินเดีย  เพื่อจะได้มีโอกาสไปนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง  4 แห่งให้สมกับที่เป็นพุทธบุตรพระสงฆ์สาวกของพระบรมศาสดา  จึงได้ไปพูดกับเจ้าสิทธิเชียงตุงซึ่งเป็นสังฆราช  หรืออาจจะเทียบได้กับเจ้าคณะจังหวัดของเชียงตุง  เรียนท่านว่า  อยากจะไปอินเดีย  ถ้าหากจะเดินทางออกไปร่างกุ้ง  ผ่านไปอินเดียจะได้ไหม  ท่านก็มีความยินดี  ตอบว่าไปได้แต่ต้องขอให้โอนเข้าเป็นพระเมืองเชียงตุงก่อน  โดยตัวท่านยินดีจะรับโอนข้าพเจ้าเข้าเป็นพระเมืองเพื่อให้ข้าพเจ้าได้รับความสะดวกในด้านการขอหนังสือเดินทางต่าง ๆ  

       แต่ก่อนจะเตรียมดำเนินการทั้งปวงเพื่อเดินทางไปอินเดีย  ข้าพเจ้าก็ได้ลองอธิษฐานจิตดูว่า  ถ้าเราสมควรจะเดินทางไปอินเดีย  คือเป็นการดี  ก็ขอให้มีนิมิตภาพปรากฏเป็นที่พอใจ  ถ้าไม่ควรไป  คือ ไปแล้วจะมีเหตุอันตราย ก็ขอให้ได้มีนิมิตร้าย  

       อยู่มาก็เลยเกิดนิมิตขึ้นว่า  ปรากฏเห็นพระพุทธเจ้า  พระอานนท์และพระมหากัสสปะและช้าง  เป็นนิมิตปรากฏในจิตขณะที่ภาวนา  เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จไปก่อนพระอานนท์  ขาวบริสุทธิ์หมดจด  งามมาก  พระวรกายมีรัศมีเป็นแสงโอภาสจับตา  พระอานนท์ก็เสด็จตามหลังห่างกันระยะประมาณสัก  10  เมตร  องค์สุดท้ายเป็นพระมหากัสสปะ  เดินตามหลัง  สุดท้ายตามหลังพระมหากัสสปะมาเป็นช้างตัวใหญ่   พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านข้าพเจ้าไปก่อนโดยไม่รับสั่งอะไรเลย  พระอานนท์และพระมหากัสสปะต่างองค์ก็ไม่พูดเช่นกัน  พอพระมหากัสสปะเดินผ่านข้าพเจ้าไปไกลช้างตัวนั้นซึ่งทอดระยะห่างจากท่านราว 1 เส้น  ก็มาถึงข้าพเจ้า  และวิ่งเข้าใส่  หวังจะทำร้ายขยี้ข้าพเจ้าให้แหลกเหลวตาย  ข้าพเจ้ามองเห็นต้นโพธิ์ต้นหนึ่งอยู่ใกล้  จึงวิ่งกระโดดหนีขึ้นต้นโพธิ์  เมื่อช้างวิ่งมาถึง  ข้าพเจ้าก็หนีขึ้นไปอยู่บนคาคบต้นโพธิ์ได้แล้ว  ช้างจะเอางาแทงเลยแทงไม่ถึง  มันรีรออยู่ระยะหนึ่ง  เห็นว่าทำอะไรข้าพเจ้าไม่ได้  ก็เลยเดินตามหลังพระมหากัสสปะไป

       เมื่อช้างไปแล้วข้าพเจ้าจึงลงจากต้นโพธิ์  มองเห็นที่ใต้ต้นโพธิ์มีอาสนะปูลาดไว้อย่างเรียบร้อย  พร้อมทั้งมีหมอนอินใบหนึ่งวางพิงอยู่ที่โคนต้นด้วย  ข้าพเจ้าจึงลงมานั่งบนอาสนะที่ปูลาดและพิงหมอนอิงนั้น เห็นใกล้ ๆ นั้นมีหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่งปกแข็งขนาดหนาประมาณ  3 นิ้ว  วางทิ้งอยู่  ข้าพเจ้าจึงหยิบหนังสือนั้นมาเปิดอ่าน  หันหน้าไปทางทิศตะวันออกอ่านหนังสือนั้น  ปรากฏว่าเป็นหนังสืออภิธรรม  ข้าพเจ้านั่งอ่านไประยะหนึ่ง  เลยจิตถอนจากนิมิตนั้น

ข้าพเจ้าจึงมาพิจารณานิมิตนั้น  เห็นว่าแม้ว่าการมีนิมิตเห็นพระพุทธเจ้า  อีกทั้งพระอานนท์และพระมหากัสสปะ  จะเป็นมงคลอันสูงสุดก็ตาม  และนิมิตตอนท้ายก็เป็นเรื่องที่ดีแต่อย่างไรก็ดีตอนกลางนั้นแสดงถึงอุปสรรค  จึงคิดว่า  ไม่ควรไปประเทศอินเดียเพราะไม่สะดวก  ควรกลับดีกว่า  ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจเดินทางกลับจากเชียงตุง

       ขากลับข้าพเจ้านั่งรถออกจากเชียงตุงเวลา  6  โมงเช้ามาถึงแม่สายเชียงรายจนค่ำ  สามทุ่ม  ขึ้นรถจากแม่สายถึงบ้านภาชี  แวะนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี  จากนั้นก็นั่งรถกลับมาจังหวัดอุบลราชธานี  พักอยู่พอประมาณก็เดินทางต่อไปวัดป่าบ้านหนองผือ  จังหวัดสกลนครเพื่อกราบนมัสการท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น

       พอไปถึงก็เข้าไปกราบเท้าท่านด้วยความเคารพอย่างสูงสุด  ท่านได้ถามทุกข์สุขว่า  “ เป็นอย่างไรบ้างจากไปถึง  2  ปี  การภาวนาเป็นอย่างไรบ้าง  และไปเที่ยวที่ไหน “

       ข้าพเจ้าได้กราบเรียนท่านว่า  “ ไปถึงเชียงตุงขอรับกระผม  การภาวนาไม่สู้ดีเหมือนอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์หมายถึงอยู่ใกล้กับท่านพระอาจารย์มั่น

       ท่านจึงว่า  “ ใช่แล้ว  ขณะที่ผมอยู่ภาคเหนือ  หมู่ได้อาศัยผม  พอผมจากมาแล้วภาคเหนือหมู่ได้อาศัยผม  พอผมจากมาแล้วภาคเหนือไม่มีใครอาศัยก็ไม่ค่อยดีเพราะไม่มีผู้อาศัยต่อไปนี้  ท่านจวนอย่าไปอีกให้ภาวนาอยู่แถวภาคอีสานนี่แหละดีแล้ว  อย่าไปอีกเลย “

       เป็นคำที่ท่านแนะนำและข้าพเจ้าก็น้อมรับไว้ปฏิบัติตามด้วยความเคารพโดยต่อมาก็ได้ท่องเที่ยวภาวนาอยู่แต่ภาคอีสานตลอดมา

       เพื่อให้ประวัตินี้บริบูรณ์ตามจริง  ขอย้อนกลับไปกล่าวถึงเหตุการณ์ในระหว่างที่ข้าพเจ้าจำพรรษาอยู่ร่วมกับท่านพระอาจารย์มั่น  กล่าวคือ  ในกลางพรรษาได้นิมิตปรากฏขึ้นว่า  ข้าพเจ้ามีตะเกียงโคมรั้วอยู่ดวงหนึ่งเอาไม้ขีดมาจุดตะเกียงโคมรั้วนั้น จุดไม้ขีดกี่ก้าน ๆ ก็ไม่ติดไฟไม่ติดสักที  การจุดตะเกียงนี้ข้าพเจ้าได้กระทำต่อหน้าท่านพระอาจารย์มั่น  ดังนั้นเมื่อเห็นข้าพเจ้าจุดไม้ขีดไม่ติด  ท่านพระอาจารย์มั่นเลยเอาตะเกียงข้าพเจ้าไปจุดให้  เมื่อท่านจุดให้  ไม้ขีดเพียงก้านเดียวก็ติดทันที  ท่านจุดให้แล้วก็หมุนไส้ตะเกียงขึ้นให้แสงสว่างขึ้นแล้วท่านก็ว่า “ .....เอาละ  ขนาดนี้สว่างแล้ว... ! “  แล้วท่านก็ยื่นตะเกียงโคมรั้วคืนให้ข้าพเจ้า

       นี่เป็นนิมิตครั้งหนึ่ง

       อีกครั้งหนึ่ง  เป็นนิมิตที่เกิดขึ้นระหว่างกลางพรรษาที่อยู่ร่วมกับท่านเช่นเดียวกัน

       นิมิตครั้งหลังนี้  มีว่า  ข้าพเจ้าเห็นท่านพระอาจารย์มั่น  ภูริทัตตะเถระ  กำลังอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง  ด้านปกหลังของหนังสือนั้นมีลายวิจิตรพิสดารมาก  ปกหน้ามีสลักตัวอักษรขนาดใหญ่  “ หนังสือสงเคราะห์ต่าง ๆ “  เป็นหนังสือเล่มใหญ่หนาประมาณ  3  นิ้ว ขณะที่ท่านกำลังอ่านนั้น  มีพระลูกศิษย์ทั้งหลายนั่งห้อมล้อมท่านอยู่หลายองค์  ข้าพเจ้ามองดูแล้วก็นึกในใจว่า  หนังสือที่ท่านอ่านนี้  ถ้าท่านอ่านแล้ว  ท่านจะมอบให้องค์ไหนหนอ...พอท่านอ่านจบท่านก็ยื่นหนังสือให้ข้าพเจ้าแล้วบอกว่า  “ เอ้า...หนังสือนี่  ท่านจวนเอาไป....เพราะท่านจวนดูแล้วเข้าใจดี  คนอื่นดูคงไม่เข้าใจดีเท่าไรแต่ท่านดูแล้วเข้าใจดี “  ท่านเลยมอบให้ข้าพเจ้า

      จะเป็นเพราะเหตุไรก็ไม่ทราบ  ข้าพเจ้าไม่ได้พิจารณานิมิตเหล่านี้เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น