วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

20.พรรษาที่ 15–16 พ.ศ.2500 – 2501 กลับไปจำพรรษาที่ดงหม้อทอง - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ



พรรษาที่  15 – 16 พ.ศ.  2500 – 2501
กลับไปจำพรรษาที่  ดงหม้อทอง

       พรรษาที่   15  ข้าพเจ้าได้กลับมาจำพรรษาที่ดงหม้อทองอีก  ร่วมกับพระอาจารย์สอน  อุตฺตรปญฺโญ  ได้พากันตั้งอธิษฐานไม่นอนอยู่ 2 เดือน  ทำความเพียรกันอย่างเด็ดเดี่ยวบางวันก็พากันเอาปี๊บคว่ำกลางหลังพลาญหิน  ซึ่งอยู่สูงกว่าพื้นดินประมาณ  15  เมตร  แล้วก็เอาอาสนะปูทับบนกันปี๊บ  ภาวนาตากฝนตลอดวันตลอดคืนก็มี  ภาวนาจิตสงบดีปี๊บไม่ล้ม ไม่ง่วง

       บางทีก็ไปนั่งริมหน้าผาชัน  ตลอดคืน  โดยไม่ง่วง  ไม่สับประหงกแต่ประการใด  ถ้าหากง่วงสัปหงกเพียงเล็กน้อย  ก็คงจะตกจากหน้าผาลงข้างล่างแล้ว  เป็นการพยายามสัปรยุทธชิงชัยเอาชนะกิเลสกันอย่างเต็มที่

       ในพรรษา  15  นี้  ข้าพเจ้าเกิดอาพาธหนักเป็นไข้ป่าเอาหมอรักษาฉีดยา  ยากับโรคปะทะกันทำให้เกิดอาเจียนขนานใหญ่  อาหารออกหมด  หมดแรงแทบประดาตายแล้วเกิดธาตุวิปริต  ตามืด  ตามัว  เวียนศีรษะคอนศีรษะแทบไม่ขึ้น  พูดจาไม่รู้เรื่องภาษาเป็นอยู่  9  วันจึงสงบ  ข้าพเจ้าแก้โดยวิธีเอาปี๊บมา  2  ใบตั้งบนหลังพลาญหิน  แล้วใช้กระดานปู  2  แผ่นวางบนปากปี๊บนั่งพิจารณาความตายท่านพระอาจารย์สอนและเณรหลาน  เกรงว่าอาจจะพลาดพลั้งตกหน้าผาไปได้  ท่านก็ผลัดเวรกับเณรหลานมาคอยเฝ้าอยู่หลายคืน  โรคข้าพเจ้าจึงหายขาด

       ออกพรรษาแล้ว  ต่างก็ทยอยกันหาที่วิเวกไปในที่ต่าง ๆ เฉพาะข้าพเจ้าก็กลับไปนมัสการหลวงปู่ขาวฟังเทศน์รับการอบรมจากท่านต่อไปตามเคย

       เมื่อใกล้เข้าพรรษาที่  16  ข้าพเจ้าก็ชวนท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง  เขมาภิรโต  เจ้าอาวาสวัดถ้ำกลองเพลปัจจุบัน  กลับมาจำพรรษาที่ดงหม้อทองอีก  มีพระเณรจำพรรษาอยู่ 4 องค์  พากันปรารภความเพียร  ห้ำหั่นกิเลสกันอย่างเต็มความสามารถแต่ละองค์ต่างก็พยายามสรรหาอุบายที่ถูกกับจริตนิสัยของตนมาพิฆาตฆ่าฟันกิเลสในใจให้สงบราบคาบลง

       พระเณรต่างแยกย้ายกันทำความเพียรอย่างไม่เห็นแก่ชีวิต  ให้กายวิเวก  ให้วาจาวิเวก  ให้จิตวิเวก  ไม่เกี่ยวแก่กัน  ไม่ข้องแวะกัน  ไม่ก่อสร้างใด ๆ ทั้งหมด  อากาศดี  แม้สัตว์ป่าก็คุ้นเคยสนิทชิดเชื้อกับพระดีมาก  ไม่เป็นข้าศึกแก่กันและกัน  เสือ  ช้าง  เดินเข้ามาเยี่ยมกรายตามซอกภูผา  แนวทางจงกรมของพระบ่อย ๆ พระเณรก็ถือว่านี่เป็นเขตวัด  สัตว์ทั้งหลาย  เขาก็คิดว่านี่เป็นเขตป่าต่างฝ่ายต่างอยู่  ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนไป

       บางวัน  พระเณรก็จะภาวนาของท่านไป  งูก็จะเลื้อยผ่านไปหากินตามทางของเขา  ไม่กีดกันขัดขวางกันวันหนึ่งขณะที่พระออกไปบิณฑบาตร  เห็นไก่ป่า  3  ตัวที่ข้างทาง  ปกติวิสัยของไก่ป่านั้นจะมีความปราดเปรียวเกรงกลัวมนุษย์พอพบหน้ามนุษย์มันจะเป็นปร๋อหนีไปทันที  แต่คราวนี้แม่ไก่ทั้งสามตัวพอเห็นหน้าพระมันก็พากันหยุดยืนนิ่งเจ้าตัวหัวหน้าส่งเสียงเป็นสัญญาณให้แก่กัน  แล้วทุกตัวต่างก็ค้อมหัว  ยอบตัวลงต่ำพร้อม ๆ กัน  เหมือนกับจะแสดงอาการคาราวะพระภิกษุสงฆ์ฉะนั้น  ดูแล้วก็ช่างน่ารัก  น่าสงสารมันจริง ๆ มันนิ่งทำความคารวะอยู่เช่นนั้น  จนพระเดินผ่านไป  ชายจีวรข้าพเจ้าแทบจะเช็ดหัวมันแม่ไก่ทั้ง  3  ตัว  ก็ก้มหัวนิ่งอยู่รอจนพระผ่านไปหมดแล้ว  มันจึงออกคุ้ยเขี่ยหาอาหารต่อไป

       ครั้นออกพรรษา  ข้าพเจ้าและท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง  เขมาภิรโต  ก็กลับไปหาหลวงปู่ขาว  มาฟังเทศน์ฟังโอวาทจากท่านระยะหนึ่ง  ข้าพเจ้าก็กราบนมัสการลาท่านออกไปวิเวกทางดงศรีชมภูองค์เดียว  โดยไปลงเรือที่จังหวัดหนองคาย  ล่องแม่น้ำโขง  มาขึ้นเรือที่อำเภอบึงกาฬแล้วเดินทางต่อมาไปถึงหมู่บ้านหนึ่ง  ชื่อบ้านใหม่หนองดินดำ  ก็ขอให้ญาติโยมพาไปสำรวจที่กลางดงศรีชมภู  เขตอำเภอโพนพิสัย

       พบสถานที่แห่งหนึ่ง  มีลักษณะคล้าย ๆ กับซากเมืองเก่า  มีลานหินยาวคล้ายกับถนนคอนกรีตเป็นระยะนับเป็นสิบกิโลเมตร  บางแห่งก็เป็นทรงกลมคล้ายกับสนามม้าในกรุงเทพ  บางแห่งก็เป็นคล้าย ๆ กับปราสาทราชวังสูงหลายชั้นหักพังลงมากองทับถมกันอยู่เป็นโขดหินเป็นหินผา และพลาญหินอันกว้างใหญ่มีโตรถ้ำ  เหวลึกมากมาย  ชาวบ้านเรียกกันว่าถ้ำจันทน์  เพราะบริเวณแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นจันทน์นานาพันธุ์  ขนาดต่าง ๆ แน่นไปหมดเป็นดินแดนสงบ  ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่  ข้าพเจ้าเห็นเป็นสถานที่เหมาะควรแก่การบำเพ็ญภาวนา  จึงขอให้ญาติโยมช่วยยกแคร่ปลูกเป็นร้านเล็ก ๆ

       ญาติโยมบอกว่า  จากถ้ำจันทน์นี้ถ้าจะมีบ้านเรือนผู้คนที่ใกล้ที่สุด  ก็จะต้องเดินไปไม่ต่ำกว่า  100 เส้นโดยเป็นบ้านพวกข่า  2  หลังคาเรือนที่อพยพมาทำกินแถวนั้น  ทางไปบิณฑบาตจะต้องเดินไปตามทางด่านหินซึ่งเป็นทางช้างเดิน  และกว่าจะไปถึงทางเกวียนก็จะต้องต่อไปไกลอีก  20  เส้น

       เขาปลูกร้านเสร็จแล้ว  โยมคนหนึ่งออกสำรวจบริเวณโดยใกล้ก็กลับมาตามข้าพเจ้าไปดูและบอกว่า  ห่างจากร้านที่ปลูกเสร็จประมาณไม่ถึงครึ่งเส้นนั้น  เป็นถ้ำเสือแม่ลูกอ่อนมันมานอนที่นี่ทุกวัน  ข้าพเจ้าก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก   เสือก็เป็นสัตว์เราก็เป็นสัตว์เหมือนกัน  อยู่ร่วมกันไม่เป็นไรตกเย็นญาติโยมเขาก็กลับกันหมดเหลือแต่ข้าพเจ้าคนเดียว  พอพลบค่ำเสือมันก็กลับมาจากหากินจริง ๆ ได้ยินเสียงมันมาร้องครางใส่อยู่ใกล้ ๆ บางทีก็ได้ยินเสียงเดินแทบจะเข้ามาชิดกลดแต่ก็ไม่เห็นตัวมัน  มันก็หากินไปตามภาษาของสัตว์ป่า  มนุษย์ก็บำเพ็ญภาวนาไปตามภาษาของเพศบรรพชิต  ข้าพเจ้าไปตั้งร้านแคร่อยู่ใกล้มันมากเกินไป  วันรุ่งขึ้นมันก็คาบลูกพาหลบไปอยู่ตรงซอกเขาอีกแห่งหนึ่ง  ห่างออกไปจากเดิมหน่อยหนึ่ง  แต่ก็ยังได้ยินเสียงมันหยอกล้อกับลูกของมันอยู่ดี

       ระยะแรกมาปักกลดอยู่  ไม่ได้ฉันอาหารถึง 4 วัน  เพราะไม่ทราบจะไปบิณฑบาตที่ไหน  จะไปบิณฑบาตกับพวกข่าก็พูดกันไม่รู้เรื่อง  และเขาก็คงไม่ทราบว่าคนที่นุ่งเหลืองโกนผมนี้คืออะไร  เมื่อถึงวันที่  5   ตอนย่ำรุ่ง  ข้าพเจ้านั่งสมาธิพิจารณาดูว่าใครที่ไหนที่พอจะได้ทำบุญในโอกาสเช่นนี้บ้างก็ทราบได้ว่าเป็นข่า  2  ครอบครัวนี้แหละจึงมุ่งหน้าไปบิณฑบาตที่บ้านข่า2ครอบครัวนั้น  แม่บ้านของครอบครัวดังกล่าว  กำลังนั่งหลามข้ามด้วยกระบอกไม้ไผ่อยู่หน้าบ้านเขามองข้าพเจ้าอย่างงง ๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าชี้ตรงข้าวหลามแล้วชี้ที่บาตร  เขาก็เข้าใจ  จากนั้นเขาก็ใส่บาตรให้เป็นประจำ  ได้อาศัยบิณฑบาตรของเขาประทังชีวิตตลอดมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น