วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

21.พรรษาที่ 17 พ.ศ.2502 จำพรรษาที่ถ้ำจันทน์ - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

ถ่ายที่ถ้ำจันทร์ เมื่อปี 2502 กับศิษย์รุ่นแรกๆ


พรรษาที่ 17  พ.ศ.  2502
จำพรรษาที่ถ้ำจันทน์  ดงศรีชมภู  อ.โพนพิสัย

       พรรษาที่  17  นี้  ข้าพเจ้าจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำจันทน์แต่เพียงองค์เดียว  ระยะมาอยู่แรก ๆ ในขณะเดินจงกรมเวลาพลบค่ำหรือยำรุ่ง  จะได้ยินเสียงเหมือนคนพากันเดินพูดคุยอยู่บนพลาญหินกันเป็นหมู่  เสียงเด็กก็มีเสียงผู้ใหญ่ก็มี  เสียงผู้หญิงก็มากมาย  คล้าย ๆ กับไม่ได้อยู่กลางป่ากลางดงเช่นนั้นแหละ  พอดึกขึ้นหรือสายเข้าเสียงนั้นก็หายไป  บางทีก็ได้ยินเสียงคล้าย ๆ กับม้าวิ่งมาเป็นฝูง  มีเสียงคนพูดจาถกเถียงกัน  เอะอะผ่านหน้าที่ข้าพเจ้านั่งอยู่  บางวันใกล้สว่าง  ได้ยินเสียงเหมือนคนสวดมนตร์ไหว้พระทำวัตร  เพราะที่ถ้ำจันทน์นี้มีวัตถุโบราณเช่น  พระโบราณ  ฝังอยู่ในดินมาก  เวลาขุดรื้อถ้ำให้ราบเรียบพอจะอยู่อาศัยได้ จะพบแขนพระ  เศียรพระ  และองค์พระก็มีส่วนใหญ่แตกเป็นพระเกสรโดยมาก  เป็นสถานที่สำคัญมากรอบบริเวณอุดมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด  เช่น  หมูป่า  เก้ง  กวาง  นก  ส่วนสัตว์ใหญ่  เช่น  เสือ  ช้าง หมี ก็ยังอุดมสมบูรณ์  เพราะเป็นป่าเป็นดงจริง ๆ งูใหญ่เช่น  งูจงอางก็มากอยู่  พวกช้าง  พวกเสือจะมาเยี่ยมกรายเข้ามาบ่อย ๆ มาจนใกล้ทีเดียว  หาอาหารอยู่ในบริเวณเดียวกับมนุษย์  ต่างฝ่ายต่างอยู่  ต่างฝ่ายต่างหากินอยู่ด้วยกันความสงบสันติดังนี้


       ความจริงที่นั้นเป็นที่อยู่ของพวกสัตว์ป่าเขาต่างหากเป็นบ้านของเขา  เรามนุษย์ต่างหากที่เป็นผู้ล่วงล้ำก้ำเกินเข้าไปในแดนของเขา  จึงต้องเคารพสิทธิของเขา  ถ้ำจันทน์อยู่ห่างจากหมู่บ้านมาก  ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปอยู่ต้องอาศัยบิณฑบาตจากพวกชาวข่าดังกล่าวแล้ว  ซึ่งเขาอพยพไปทำนาอยู่ห่างจากถ้ำจันทน์ประมาณ 100  เส้นเดินทางไปตามทางพลาญหิน  ทางช้าง  กว่าจะถึงทางเกียนก็ตั้งหลายเส้นทีเดียว  บางวันระหว่างทางไปบิณฑบาตก็เจอหมู่ช้าง  บางวันก็เจอพวกหมีอยู่กลางทาง  ...ดังนี้แลชีวิตของพระธุดงค์กัมมัฏฐานนี่เสี่ยงต่อความเป็นความตาย  ไม่เห็นแก่ความตาย  ไม่เห็นแก่ชีวิต  เห็นธรรมเป็นของมีคุณค่ามากกว่าชีวิต  เห็นชีวิตเป็นของที่ต่ำ ๆ กว่าธรรม

       การไปบิณฑบาตที่บ้านข่านั้น  โดยมากข้าพเจ้าก็ฉันที่บ้านข่านั้นเองเพราะหนทางไกลมากกว่าจะกลับมาได้ก็จะต้องสายมากทีเดียว  ถ้ำจันทน์เป็นสถานที่ซึ่งสัปปายะในการภาวนาอย่างยิ่ง  อากาศดีมาก  จิตรวมเร็ว  คิดค้นดี  ค้นในกายของเราอย่างไม่ลดละ  สามารถภาวนาบำเพ็ญความเพียรได้อย่างเต็มที่เพราะได้อยู่คนเดียวโดยตลอด

       นี่เป็นเวลาพรรษาที่  17

       หลังจากออกพรรษาแล้ว  ในระหว่างฤดูแล้งที่อยู่ลำพังองค์เดียวที่ถ้ำจันทน์นี้  ได้เกิดอาพาธหนักเป็นไข้ป่า  ไม่มียาฉันเลย  ปล่อยให้ธาตุขันธ์มันเยียวยาตัวเองไปตามธรรมชาติ ตอนบ่ายเป็นไข้จับสั่น  ตอนเย็นพอพลบค่ำไข้ก็หยุดจับ  สามารถลงไปกรองเอาน้ำที่เชิงเขาได้  กว่าจะกลับถึงที่พักก็มือสนิท  เป็นอยู่เช่นนี้ทุกวันถึง  1  เดือน  ไข้ก็เป็นอยู่ไม่หาย  เพราะไม่มียาและอยู่องค์เดียว

       ระหว่างที่ยังเป็นไข้อยู่นี้  วันหนึ่งข้าพเจ้าได้นอนภาวนา   กำหนดจิตอยู่  ขณะจะเคลิ้มหลับแหล่มิหลับแหล่  อยู่ระหว่างกึ่งกลางความหลับและความไม่หลับนั้น  ได้นิมิตภาพว่าโยมบิดาซึ่งสิ้นชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุ  16  ปี  ได้มาหาโยมบิดานี้  ท่านเป็นหมอพื้นบ้าน  ช่วยรักษาไข้ให้เพื่อนบ้านใกล้เคียง  ชาวบ้านเขานิยมท่านมาก  ปรากฎในนิมิตว่า  โยมบิดาได้สะพายร่วมยามาหาข้าพเจ้าและถามว่า

       “ คุณลูกเป็นอะไร “

       ข้าพเจ้าได้บอกท่านว่า  “  ป่วยเป็นไข้ป่า  ป่วยมาแล้ว  1  เดือน  ยังไม่หาย  ไม่มียาฉัน  “

       โยมบิดาเลยว่า  “  เออ...งั้นจะฝนยาให้กิน  เดี๋ยวก็หาย “

       ว่าอย่างนั้นแล้ว  โยมก็แก้ร่วมยาออกเอาน้ำใส่ขัน  แล้วก็ฝนยาใส่ขันน้ำ  ในขณะที่โยมบิดาฝนยาอยู่นั้น  กลิ่นของยา...หอมน่าฉัน  น่าดื่มจริง ๆ ทีเดียว  รู้สึกว่าสูดแต่กลิ่นก็พอแล้ว  คล้าย ๆ กับว่า  จะมีกำลังเพิ่มขึ้นเลย  เมื่อโยมฝนยาเสร็จแล้วก็ยกมาถวายให้ดื่ม  ข้าพเจ้าฉันจนหมดยาในขันนั้น

       พอฉันเสร็จก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นพอดี  นึกว่าตัวได้ฉันยาจริง ๆ เมื่อได้พิจารณาแล้ว  จึงรู้ว่าเป็นเรื่องของนิมิต หรือความฝันต่างหาก  ต่อจากนั้นมาวันใหม่อาการของไข้ก็ลดลงไป  จนหายขาด ไม่มีไข้อีกต่อไปและร่างกายก็มีกำลังขึ้น  ฉันอาหารก็ได้เป็นปกติตั้งแต่นั้นมายังไม่เคยปรากฏการเจ็บป่วยแบบนั้นอีก  จะไปอยู่ที่ไหน  ๆ  รู้สุกว่าอาการไข้ไม่มี  จะเป็นเพราะเหตุอะไรข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ  ถ้าจะว่า  เป็นเพราะได้ฉันยานั้นของโยมบิดาแต่ก็ไม่ได้ฉันจริง ๆ ฉันด้วยนิมิตในความฝันต่างหาก

       เมื่อการเจ็บป่วยได้หายสนิทแล้วก็ระลึกถึงคุณบิดามารดา  ว่าพระคุณของท่านนั้นมีมากมายมหาศาลหาประมาณมิได้  เลยแผ่อุทิศส่วนบุญกุศลที่เคยบำเพ็ญมาตั้งแต่น้อยมาตลอดชีวิต  ขออุทิศให้แก่โยมทั้งสอง  คือบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว  ถ้าหากดวงวิญญาณของท่านจะสิงสถิตอยู่  ณ  ที่แห่งหนตำบลใด  คติใด  กำเนินใด  ภพใด  และชั้นใดขอให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้าอุทิศให้นี้  จงไปถึงโยมทั้งสองและให้ท่านได้รับส่วนบุญกุศลนี้  เมื่อได้รับแล้ว  ขอให้โยมทั้งสองได้พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายใด ๆ

      นึกอุทิศบุญกุศลดังนี้แล้ว  ต่อจากนั้น  อาการไข้ก็สงบลงโดยเด็ดขาด

ถ้ำจันทร์ เมื่อปี 2505 ญาติโยมต้องหาบอาหารเข้าไปเป็นวันๆ
ผู้ที่ยืนขวาสุด คือคุณประพักตร์ โสฬสจินดา ที่ท่านพระอาจารย์เอ่ยถึงบ่อยๆในประวัติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น