วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

13.พรรษาที่ 7 - พ.ศ.2492 วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว - ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ



พรรษาที่  7  - พ.ศ.  2492
วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว
สงเคราะห์โยมมารดา

       เมื่อกลับจากภาคเหนือ  เดินทางกลับอุบลราชธานีบ้านเกินคราวนั้น  ข้าพเจ้าได้ไปรับมารดามาบวชเป็นชีที่วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว ดังนั้นพอถึงเวลาใกล้จะเข้าพรรษา  ท่านพระอาจารย์มั่นจึงได้จัดให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านเดิมเพื่อสงเคราะห์โยมมารดา  และแต่งพระเถระองค์หนึ่งกำกับไปด้วย  ชื่อหลวงพ่อคำอ้ายคนจังหวัดเชียงใหม่  เป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นนั่นเอง  ก่อนลาท่านไป  ท่านพระอาจารย์มั่นได้กำชับข้าพเจ้าให้คำเตือนล่วงหน้าไว้ว่า  “ เมื่อออกพรรษาแล้วให้รีบกลับมาหาผมนะ  เดี๋ยวจะไม่ทันผม “

       เรื่องนี้ท่านได้ประกาศให้พระลูกศิษย์ทั้งหลายทราบเป็นการล่วงหน้ามาหลายปีแล้วว่า  ท่านได้กำหนดอายุของท่านไว้..... “ ผมอายุเพียง  80  ปีเท่านั้น  ก็จะมรณภาพแล้วดังนี้ในปีนั้นก็พอดีท่านอายุได้  80  ปีพอดี  พวกศิษย์จึงระมัดระวังกันเต็มที่  ข้าพเจ้าก็ไม่อยากจะจากท่านไปเลย  แต่ก็ติดขัดด้วยเป็นการที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่สั่ง  และเป็นการไปอนุเคราะห์โปรดมารดา  อันเป็นหน้าที่ของบุตร  ข้าพเจ้าจึงกราบลาท่านไปด้วยความอาลัยยิ่ง

        ขณะที่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว  นอกจากการปรารภความเพียรของตนเองแล้ว  ก็ได้ช่วยอบรมโยมมารดาที่บวชเป็นชีที่วัดบ้านเกิด   โยมได้ตั้งอกตั้งใจภาวนาเป็นอย่างดี  และต่อมาได้เล่าเรื่องภาวนาให้ฟังว่า

        “ โยมได้ภาวนา  บริกรรมว่า  พุทโธ – พุทโธ  อยู่แต่ในใจ  บางวันจิตจะรวมลงไปใสบริสุทธิ์  อยู่เฉพาะแต่จิตล้วน ๆ ไม่มีทุกขเวทนาเลย  แสนที่จะสบายยิ่งนักเมื่อเป็นเช่นนี้มันเป็นอย่างไร “ ..... โยมมารดาถาม


ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ จิตมันรวม   มันวางธาตุ  มันอยู่เฉพาะจิต  มันก็สบายน่ะซิ  ให้มันรวมอยู่เสมอ  แต่ให้มีสติรู้ว่าจิตของเรารวม  อย่าไปรบกวนจิต  อย่าไปบังคับจิตให้รวม  ให้รวมเอง  เมื่อจิตรวมเอง  เมื่อจิตรวมก็ให้มีสติ  เมื่อจิตถอนก็ให้มีสติมาพิจารณากายของตนและอย่าบังคับจิตให้ถอน  จะถอนให้ถอนเอง

        ได้แนะนำโยมมารดาแต่เพียงแค่นี้  ตามแนวอุบายคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่นที่เคยให้แก่ข้าพเจ้านั่นเองและโยมมารดาก็ไปภาวนาปฏิบัติตามแนวนี้

        วันต่อมาโยมก็มาเล่าให้ฟังว่า  จิตมันรวมบ่อยสามชั่วโมงก็มี  ตั้งแต่ย่ำค่ำจนถึงย่ำรุ่งก็มีและโยมพูดว่า

         “  ไม่มีใครตาย  มีแต่ผู้รู้.... รู้อยู่  ไม่มีผู้ตาย  ที่ว่าตาย  ตายนั้น  เพราะคนไม่รู้สมบัติ  เพราะร่างกายธาตุขันธ์อันนี้เป็นแต่สมมติ....มันไม่ตาย  มันตายไม่เป็น  ธาตุทั้งหลาย  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  เป็นของมีอยู่นั้นเป็นธรรมดา  เป็นประจำอยู่อย่างนั้น  ไม่มีอะไรตายเลย  ส่วนผู้รู้ก็ไม่ตาย “ โยมเล่า  ความรู้เห็นตามภาวนาให้ฟังและกลับสงสัยว่า “ จะให้เอาอะไร  จะให้เอาผู้รู้นี่หรือ “

        เมื่อโยมมารดาถามเช่นนั้น  ข้าพเจ้าก็เลยตอบว่า

       “ พระพุทธเจ้าท่านสอน   เบื้องต้นให้กำหนดให้รู้ตามเป็นจริง  เมื่อรู้แล้วละวาง  ปล่อยสละ  สลัดตัดขาด  ถ้าเรารู้....ไปเอาความรู้  ก็ชื่อว่า  เราละไม่ได้  พระพุทธเจ้าท่านว่า  เมื่อเป็นผู้กำหนดรู้เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาแล้ว  ยาวะ  เทวะ  ญาณมัตตายะ  ญาณคือความรู้  ก็สักแต่ว่ารู้ ปติสสติ  มัตตายะ  สติ   ความอาศัยระลึกรู้  ก็สักแต่ว่าอาศัยระลึกรู้  เมื่อเธอเป็นผู้กำหนดรู้เห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริงแล้ว  อนิสสิโต  จะ  วิหระติ  เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย  นะจะ  กิญจิ  โลเก  อุปาทิยติ  ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ แม้แต่นิดหนึ่ง  น้อยหนึ่งมิได้มีอยู่ในโลก..... ดังนี้  คือ  โอวาทคำสั่งสอนตักเตือนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  คำว่า  “ ไม่ติดอยู่อยู่ “ คือ  ความรู้ก็ไม่ติด  คำว่า  “ ไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลก “  คือ  ความรู้ตามเป็นจริง – รู้โลกนั่นเอง  คือ  โลกวิทู....รู้แจ้งโลก   เมื่อรู้แจ้งโลกแล้วก็ละวาง  สละ  สลัด  ตัดขาดกันเท่านั้น

       เป็นการเตือนให้โยมมารดาไปพิจารณาเอง  พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้

        เมื่อโยมมารดาได้รับการตักเตือนอย่างนี้  ก็ไปภาวนาต่อไป  ภายหลังจึงมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า

        “ บัดนี้  โยมรู้แล้ว  คุณลูกจะไปที่ไหนก็ไปเถอะ  อย่าเป็นห่วงโยมเลย ....... “  

       นี่เป็นพรรษาที่  7  เป็นพรรษาที่ได้อยู่ร่วมและสงเคราะห์โยมมารดา

       ในระหว่างนั้น  โยมน้า  คือแม่ใหญ่  ซึ่งเป็นน้องสาวของโยมมารดา  เกิดความสงสารข้าพเจ้า  เลยบอกพวกลูกหลาน  ให้ไปนิมนต์ข้าพเจ้าให้ลาสิกขาบทเสียท่านอ้างว่ากูสงสารหลานกู  หลานกูมันทุกข์มันยาก  ไปนอนอยู่ป่าอยู่ดง  มันหิวข้าวหิวน้ำ ไม่มีเงินใช้สอย  ทุกข์ระกำลำบากมาก  ไม่มีลูกไม่มีเมีย  เสียหน่อเสียแนว ( เสียวงศ์เสียตระกูล )  ลูกหลานก็เลยเห็นพ้องด้วย  จึงพากันแต่งขันมานิมนต์ข้าพเจ้าให้ลาสิกขาในพรรษาที่  7  นั้น

       ข้าพเจ้าเห็นพวกนี้พากันถือขันมาเป็นกลุ่มใหญ่ไม่ทราบเรื่องจึงถามว่า  จะมานิมนต์ไปไหน  เขาตอบว่า

       แม่ใหญ่  บอกให้พวกผมมานิมนต์อาจารย์สึก

        สึกเพราะเหตุใด .....ข้าพเจ้าถาม  

       สึกเพราะแม่ใหญ่สงสาร  ลูกหลานมันทุกข์ยากนอนป่านอนดง  ไม่ไดลูกไม่ได้เมีย  ไม่ได้เงิน  ไม่ได้ทอง ฯลฯ  จึงขอนิมนต์อาจารย์สึกไป  พวกผมมาตามคำสั่งของแม่ใหญ่

       ข้าพเจ้าจึงบอกว่า  “ เออ...ดีละ แม่ใหญ่สงสารอย่างนั้นก็ดีแล้ว ....... แล้วพวกลูกหลานล่ะสงสารไหม

        เขาถามก็บอกว่า   “ สงสารครับ “

       ข้าพเจ้าก็ว่า  “ ดี...งั้นอาตมาจะพูดให้ฟัง  ตอนบวชอาตมามีศรัทธา  กองบวชหามาเอง  สะสมมาเองไม่มีใครรู้พวกญาติพี่น้องไม่ได้เกี่ยวข้อง  ส่วนการสึกพวกญาติพี่น้องอยากให้สึก  จึงควรต้องแต่งกองสึกมาให้ครบ  กองสึกถ้าไม่ครบ  สึกออกไปจะเป็นบ้า  จะรับรองหาได้ไหม  เขาก็ว่า  “  รับรองได้  ให้บอกมาว่า  จะเอาอะไรเป็นกองสึกบ้าง “  

       ข้าพเจ้าว่า  ก่อนจะพูดต่อไปอีกถึงกองสึก  ขอถามมติดูก่อนว่า  ในบรรดาผู้ที่มานี้ฝ่ายที่อยากให้สึก  หรือฝ่ายที่อยากให้อยู่  ฝ่ายใดจะมีเสียงข้างมาก  ฝ่ายใดจะมีเสียงข้างน้อย  ให้ลองออกเสียงดูก่อน  รู้ผลมติแล้วจึงค่อยพิจารณากันต่อไป  แล้วก็ประกาศดัง ๆ  ว่า  ใครอยากให้สึก....ปรากฏพวกอยากให้สึกมีมาก  ใครอยากให้อยู่มีน้อยมีเพียง  5  คนเท่านั้น

       เมื่อเป็นเช่นนั้น  จึ่งแต่งเครื่องสึกให้เขาบอกว่าถ้าต้องการให้สึก  ก็ต้องหาเครื่องสึกดังนี้คือ

1.เครื่องแต่งตัวครบชุด  เสื้อนอก...เสื้อในกางเกงนอก – กางเกงใน  หมวก  สร้อย  แหวน  นาฬิกา  รองเท้า – เขาก็ว่าได้

2.การซักรีดเสื้อผ้า  ใครจะรับอาสาทำให้ ....เขาก็ว่าตกลงทำได้

3.รถจักรยานยนตร์  1 คัน  เขาตอบว่าได้

4.เมื่อสึกแล้ว  ตามวิสัยฆราวาส  ก็ต้องมีลูกเมียจะหาให้ได้ไหม  น้าคนหนึ่งตอบว่า  ได้  เรื่องนี้ผมรับรองผมมีลูกสาวคนหนึ่งอายุ  16  ปีพอดี  ยินดีจะยกให้เลย  ไม่ต้องเสียสินสอดทองหมั่นอย่างใดทั้งสิ้น

5.รถยนต์ฟอร์ด  1  คัน  เขาถามว่าราคาเท่าไร   ตอบว่าอย่างต่ำก็ราคา  60,000  บาท  อย่างสูง  100,000  บาท   ( ซึ่งเป็นราคาขณะนั้น ) เขาก็ชักพูดไม่ออก  กระอ้อมกระแอ้มเสียแล้ว

6.ให้ปลูกบ้านเป็นปราสาท  ลอยอยู่ในอากาศไม่มีเสา  นึกอยากจะไปไหนมาไหน  ก็ให้ลอยไปได้ตามใจนึก  อย่างนี้  ......  หาให้ได้ไหม  เขาก็ตอบว่า  ไม่ได้หรอกหาให้ไม่ได้

7.หายาป้องกัน  การเจ็บ  การแก่  การตาย  ได้ไหมเพื่อว่าสึกแล้วจะไม่ต้องมีการแก่  ไม่มีการเจ็บ  ไม่มีการตาย  มีอายุยืนยงคงทน  ร่างกายหนุ่มแน่นเป็นหนุ่มอยู่เสมอ... ได้ไหม   เขาว่าไม่ได้หรอก


       ข้าพเจ้าจึงว่า  เมื่อหาเครื่องสึกตามที่ประกาศไปนี้ไม่ได้ครบทุกข้อ ก็สึกไม่ได้  เครื่องสึกไม่ครบ  ขืนสึกออกไปจะเป็นบ้าตาย  

       การนิมนต์ลาสิกขาบทของข้าพเจ้า  ก็เป็นอันยุติเลิกกันไปเพียงแค่นี้

       เมื่อออกพรรษาแล้ว  ข้าพเจ้าก็รีบเดินทางจะมานมัสการท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น  เพราะจำคำที่ท่านกำชับไว้ได้ดี  ว่าเร่งกลับไปหาท่าน  ประเดี๋ยวจะไม่ทันท่าน  ท่านได้ประกาศปลงอายุไว้แล้วในปีอายุ  80 ซึ่งก็เป็นปีนี้พอดี  พอเดินทางมาถึงดงมะอี่  หยุดวิเวกชั่วคราว  เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งสัปปายะในการวิเวกพอดีญาติพี่น้องมาส่งข่าวจากทางบ้านว่า  โยมมารดาและพี่ชายเจ็บหนัก  พ้องกันทั้งสองคน  ในลงไปเยี่ยมข้าพเจ้าจึงต้องเดินทางกลับไปพยาบาลโยมมารดาและพี่ชาย   ซึ่งเผอิญมาป่วยหนักลงในขณะนั้น  พยาบาลอยู่ได้  1  เดือน  พี่ชายก็ถึงแก่กรรม  และต่อมาโยมมารดาก็เสียชีวิตไปอีกคนหนึ่งรวมเป็น  2  ศพ  ข้าพเจ้าก็เลยต้องทำฌาปนกิจท่านทั้งสองต่อไป

       สำหรับเรื่องโยมมารดาของข้าพเจ้านี้  คิดว่าควรจะเล่าให้ละเอียดสักหน่อย  เพื่อเป็นเกียรติประวัติของหญิงชนบทคนหนึ่ง  โยมมารดาข้าพเจ้าเป็นหญิงชาวบ้าน  ไม่ได้รับการศึกษา  ไม่รู้หนังสือ  เพราะคนโบราณสมัยนั้นในจังหวัดชนบทห่างไกล  ไม่ได้เข้าโรงเรียนแต่อย่างใด  แต่ก่อนท่านเป็นคนถือผีไท้ผีฟ้าด้วยซ้ำเพราะป่วยเป็นโรคตา  เจ็บตาก็เอาหมอผีมารักษา  ในบ้านมีศาลบูชาผีอยู่ด้วย  มารดาตกแต่งดอกไม้มาบูชาเป็นประจำทุกวันด้วยความเลื่อมใส

       เวลานั้นข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก  จำได้ว่ากำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่  5  มีความคิดว่า  ผีหรือเทวดานี่แหละเป็นตัวทำให้มารดาตาเจ็บ  อย่ากระนั้นเลย  เราต้องปราบผีนี้เสีย วิธีปราบผีของเด็กชายจวนสมัยนั้นก็คือกลับจากโรงเรียนวันหนึ่ง  ก็เอาค้อนมาทุบศาลผีหรือเทวดา – ที่มารดาเรียก – แตกกระจาย  มารดากลับมาบ้านตอนเย็น  เห็นเข้าก็ตกใจว่าลูกมาทำอย่างนั้น  ทำผิดต่อผี  ต่อเทวดาเช่นนั้น  นัยน์ตาคงจะแตกตายแน่  ข้าพเจ้าก็ว่าไม่เป็นไรหรอก  ไม่แตกดอก  ลูกปราบผีให้แล้วมารดาจะแต่งศาลที่บูชาขึ้นใหม่  ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมว่าแต่งไม่ได้ บ้านนั้นเขามีไว้ให้คนอยู่  ไม่ใช่ให้ผีอยู่  มารดาว่า  ถ้างั้นจะเอาไปไว้ที่ไหน  ข้าพเจ้าก็ว่า  ไว้ที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่บนบ้านนี้   ที่ป่าไผ่ก็ได้    สุดท้ายมารดาก็เอาศาลไปแขวนไว้ที่ป่าไผ่  นอกบ้าน

       ข้าพเจ้าจึงคิดหาอุบายที่จะทรมานมารดาให้เลิกนับถือผี  จึงไปหาซื้อหนังสือ  “ หลานสอนปู่ “ มาอ่านให้มารดาฟัง  หนังสือ  “ หลานสอนปู่ “  นี้เป็นหนังสือที่คนโบราณแต่งไว้เป็นคติสอนใจ  ทางอีสานรู้จักกันดีเป็นหนังสือคู่กันกับหนังสือ “ ปู่สอนหลาน “   มีเนื้อความที่เป็นสาระโดยย่อเท่าที่ข้าพเจ้าจำได้  ก็คือ

       หลานซึ่งเป็นเด็กเล็ก  พยายามจะสอนให้ปู่รู้จักเข้าวัดเข้าวา  ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ  ให้รู้จักสร้างสมทางกุศลตักบาตร  ทำบุญให้รู้จักการภาวนาบอกว่า  ถ้าปู่ไม่รู้จักเข้าวัดฟังธรรม  เด็กน้อยก็จะไม่นับถือยำเกรง

       ข้าพเจ้าแกล้งอ่านไปเรื่อย ๆ ระยะแรก  มารดาก็ไม่ฟัง  เอ็ดตะโรว่าหนวกหู  แต่ข้าพเจ้าก็ทำไม่รู้ไม่ชี้อ่านไป ....อ่านไป  โดยเฉพาะเวลามารดาอยู่บ้านจะฟังหรือไม่ฟังก็ตามใจมารดา  เรามีหน้าที่อ่าน  ก็อ่านเสียงแจ้ว ๆ ไป  กระทั่งภายหลังวันไหนไม่อ่าน  มารดาก็จะถามหา  แสดงว่าธรรมะของ  “ หลานสอนปู่ “  ได้ซึมซาบเข้าไปสู่จิตใจมารดาแล้วเป็นลำดับ  และต่อมาหลังจากนั้นมารดาก็เลยเลิกนับถือผีไท้  ผีฟ้า  กลับเข้าวัดเข้าวาฟังเทศน์  ถือศีลเป็นอันดี

       นับว่าอุบาย  “ หลานสอนปู่ “  ของเด็กชายจวนในครั้งกระโน้น  ได้ผลเป็นอย่างดียิ่ง

       เมื่อโยมมารดาบวชเป็นชีครั้งนี้  อายุได้  75 -  76 ปีแล้ว  ท่านพระอาจารย์มั่นท่านคงจะพิจารณารู้การณ์ข้างหน้า  ท่านจึงแต่งให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษากับมารดาท่านว่า  “ ท่านจวนเอามารดามาบวชแล้ว......ไม่ได้ ต้องไปอบรมสั่งสอนผู้เฒ่านะ “ แล้วท่านก็แนะนำวิธีให้ว่า “ อบรมผู้เฒ่านั้น  อย่าไปอบรมมาก ๆ  ลึกซึ่งอะไร  ผู้เฒ่าจำไม่ได้หรอก   เอาแต่สั้น ๆ พอให้ทำได้แล้ว  จึงค่อยแนะขั้นต่อไปเป็นลำดับ  ท่านบอกอุบายให้แล้วก็เตือนข้าพเจ้า  ออกพรรษาแล้ว  ให้รีบไปหาท่าน  เพราะประเดี๋ยวจะไม่ทันท่าน..ดังที่ข้าพเจ้าเคยเล่าไว้แล้ว

       เมื่อมาจำพรรษากับโยมมารดาข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติแนะนำท่านตามที่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านแนะวิธีมา  โดยเริ่มสอนให้ท่องเพียง  “ พุทโธ “  ให้มีสติกำกับใจอยู่กับพุทโธ  อยู่กับอารมณ์พุทโธ  ให้พุทโธอยู่กับใจ  อย่าพลั้งเผลอ  อย่าขาดจากกัน

       บอกเพียงแค่นั้น  โยมก็ไปปฏิบัติและมาบอกผลของการภาวนาเป็นลำดับ ๆ และข้าพเจ้าก็แนะนำต่อไปเป็นลำดับ ๆ เช่นกัน  โดยเฉพาะเรื่องการพิจารณากาย  กระทั่งวันหนึ่งโยมมารดาก็เล่าว่าท่านพิจารณากาย  จนเห็นชัดและมันเปื่อย  ผุพังลงไป  แม่นแล้วมันไม่ใช่ของเราจริง ๆ เห็นหมดเลยทุกส่วน  ยังเหลือแต่ลำไส้อยู่ส่วนเดียวในกาย  ยังมืดตื้ออยู่  เห็นไม่ชัด  ละลายยังไม่ได้

       ข้าพเจ้าก็ว่า  ให้ละลายมันให้ได้  ทำให้ได้  ภาวนาให้มันได้ซีโยม

       โยมมารดาก็ภาวนาต่อไป  สุดท้ายพอจะออกพรรษาท่านก็ออกอุทานว่า   “ โอย  คุณลูกโยมรู้แล้ว  รู้จักทางแล้ว  คุณลูกจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่าเป็นห่วงโยมเลย  มันบ่มีผู้ตายหรอก  จิตมันก็ตายไม่เป็นหรอก  มันละใสบริสุทธิ์มีแต่ผู้รู้  ไม่มีผู้ตาย  ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรานะ  เป็น  ดินน้ำ  ลมไฟ  นะคุณลูก

        เมื่อข้าพเจ้ากลับมาพยาบาลท่าน  ตอนโยมมารดาเจ็บหนักนี้  ท่านก็บอกว่า  ท่านจะอยู่ไม่ได้นาน   อีกสามวันก็จะไปละ  เพราะมารดาเกิดวันพฤหัสบดี  จะตายวันนั้น  โยมมารดาบอกวันตายด้วย  แล้วก็บอกเวลาอีก   ว่าเวลาตีหนึ่ง  จะลาละ  อย่ารีบไปไหน

      พอถึงวันพฤหัสบดี  ลูกหลานทุกคนก็มาเฝ้ากันหมดพร้อมหน้า   ข้าพเจ้าก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ คอยเฝ้าผู้เฒ่าอยู่ถามโยมมารดาว่า  มีห่วง  มีอะไรสงสัยไหม

       ท่านก็ว่า  มีอยู่อย่างหนึ่ง  ท่านสงสัยเรื่องกรรมคือท่านเอาหมากถั่ว ( ถั่วฝักยาว ) ที่ไร่ของหลาน  ไร่นั้นเขาทิ้งร้างแล้ว  โยมเก็บมาประกอบเป็นอาหารถวายพระ  กลัวว่าการกระทำนี้จะเป็นบาปเป็นกรรมเพราะไม่ได้บอกหลานเขา  ข้าพเจ้าก็เลยบอกโยมมารดาว่าไม่เป็นไรหรอก  เป็นไร่ของหลานเราเอง  และไร่นั้นเขาก็ทิ้งร้างแล้ว

       ท่านบอกว่า  ท่านมีสงสัยเพียงแค่นั้น  พอถึงเวลาตีหนึ่ง  ท่านก็ดับไปจริง ๆ โดยหลับตา  สิ้นลมไปอย่างสบาย  สงบที่สุด

       เมื่อมีโอกาสที่จำพรรษากับหลวงปู่ขาว  อนาลโยในภายหลัง  ข้าพเจ้าได้กราบเรียนเล่าเรื่องการภาวนาของโยมมารดาถวายให้หลวงปู่ขาวฟังท่านพิจารณาอยู่  3  วัน  แล้วก็เล่าให้ข้าพจ้าฟัง

       โอ....โยมมารดาของท่านไปสูงเลย  ไปถึงสุทธาวาส  พรหมโลก  ได้สำเร็จอนาคามีทีเดียว

       หลวงปู่ขาวว่าอย่างนั้น  ข้าพเจ้าก็สาธุ  อนุโมทนาด้วยโยม  ส่วนเรื่องผู้รู้ – ตายไม่ตายนั้น  ฟังแล้ว โปรดพิจารณากันเอาเอง

       ขอย้อนกลับมาเล่าเรื่องประวัติต่อไป

       เมื่อเสร็จงานศพโยมมารดาและพี่ชายแล้ว  ข้าพเจ้าก็รีบเดินทางไปวัดป่าบ้านหนองผือ  เพื่อกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น  ด้วยความห่วงใยท่าน และขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกเต็มตื้นไปด้วยความขอบพระคุณท่าน  ถ้าท่านไม่จัดให้ข้าพเจ้ากลับไปจำพรรษา  อยู่โปรดโยมมารดาในปีนี้ก็คงไม่มีโอกาสทำหน้าที่บุตรที่ดีสนองคุณท่าน

       โบราณท่านว่าไว้   ถ้าบุคคลใด  ได้ช่วยบิดามารดาให้เลิกละมิจฉาทิฏฐิ  คือความคิดเห็นอันไม่ถูกต้องนับถือผีเจ้าเข้าทรง  กลับมามีสัมมาทิฏฐิ  รู้จักการอันเป็นบาปบุญคุณโทษ  รู้จักเข้าวัดเข้าวา   รักษาศีลภาวนาก็นับว่าได้ทำหน้าที่บุตรที่ดีตอบแทนคุณบิดามารดาอยู่แล้ว  ถ้ายิ่งได้อนุเคราะห์แนะนำชี้ช่องทางด้วยความเต็มสติปัญญาความสามารถของบุตรให้ท่านบำเพ็ญเพียรภาวนา  จนละกิเลสเห็นแจ้งในสัจจธรรมคำสอนของพระพุทธองค์  สามารถละกิเลส  อาสวะ  ที่หมักดองอยู่ในจิตใจ  ได้ตามชั้นตามภูมิแห่งจิตและนิสัยวาสนาของท่านแล้ว  ก็ยิ่งนับว่าได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตคุณ  ตอบแทนท่านตามควรแก่หน้าที่บุตรธิดาแล้ว

       บุคคลนั้นสมควรภูมิใจในความเป็นบุตรที่ดีของตนได้

        เมื่อเสร็จงานฌาปนกิจมารดาและพี่ชายแล้ว  ข้าพเจ้าก็รีบเดินทางไปวัดป่าบ้านหนองผือ  แต่ก็ไม่ทันเห็นใจท่านพระอาจารย์มั่น  ปรากฏว่าท่านได้มรภาพเสียก่อนแล้ว  ได้ทันแต่ไปช่วยงานถวายพระเพลิงศพของท่านที่วัดป่าสุทธาวาส  จังหวัดสกลนครเท่านั้น  เพราะเมื่อท่านเจ็บหนัก  ท่านได้ให้คณะลูกศิษย์พาท่านเคลื่อนย้ายจากวัดป่าบ้านหนองผือ  มาวัดป่าสุทธาวาส  โดยท่านเกรงว่า  ถ้าท่านมรณภาพที่บ้านหนองผือ  อันเป็นตำบลเล็กแล้ว  ศิษย์และประชาชนเป็นจำนวนมากก็จะหลั่งไหลกันไปคารวะศพท่าน  อาหารการกินคงจะลำบาก  อาจจะต้องมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต   เอามาเป็นอาหารเลี้ยงผู้คน  ทำให้ชีวิตสัตว์จะต้องลำบากเนื่องด้วยท่านอีกมากมายมหาศาล  ส่วนวัดป่าสุทธาวาสนั้นอยู่ใกล้ตัวจังหวัด  ( ขณะนั้นยังถือว่าเป็นบริเวณชายเมืองอยู่ ) พอมีตลาดร้ายค้าหาเนื้อหมู  เนื้อไก่ที่เขาขายมาทำอาหารบริโภคได้



        ข้าพเจ้าได้ช่วยงานศพท่านพระอาจารย์ใหญ่อยู่เป็นเวลาเดือนเศษจึงเสร็จงาน  หลังจากการถวายพระเพลิงแล้ว  ได้ปรึกษากับท่านอาจารย์วัน  อุตฺตโมหรือ  ท่านเจ้าคุณอุดมสังวรวิสุทธิเถระ  แห่งวัดถ้ำอภัยดำรงธรรมในสมัยปัจจุบัน  ปรึกษากันว่า  เราหมดพ่อแม่ครูบาอาจารย์อันเป็นหลักชัยแล้ว  ต่อไปเราควรจะไปเที่ยวภาคใต้หรือ  ปักษ์ใต้ด้วยกันเพราะขณะนั้นท่านพระอาจารย์เทสก์  เทสรังสี  หรือท่านเจ้าคุณนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์แห่งวัดหินหมากเป้งในเวลาต่อมา  ท่านจะไปประกาศศาสนาที่แถวจังหวัดภูเก็ต  พังงา  จึงคิดว่าจะตามท่านไป  และขอรับการอบรมจากท่าน  ด้วยท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่ได้รับการยกย่องจากท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นมาก  ระหว่างข้าพเจ้าเป็นพระน้อยพรรษา  3  พรรษา  4  ได้ยินท่านพระอาจารย์ใหญ่  กล่าวถึงท่านพระอาจารย์เทสก์ด้วยความนิยมยกย่อง  และบางโอกาสก็ประกาศพยากรณ์ภูมิจิตของท่านไว้อย่างสูงมากด้วย  

       ข้าพเจ้าแต่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เตรียมจะไปกับท่านอาจารย์วันอยู่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่มาหักเหทำให้ข้าพเจ้าต้องเปลี่ยนความตั้งใจ  

หลวงปู่ขาว อนาลโย


       กล่าวคือ  ท่านพระอาจารย์ขาว  หรือ  หลวงปู่ขาว  อนาลโย  แห่งวัดถ้ำกลองเพลในปัจจุบัน  ซึ่งมาในงานฌาปนกิจศพของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น  ทราบจากเพื่อนภิกษุอื่น ๆ  ว่า  พระครูบาจวนหรือข้าพเจ้าก็มาในงานนี้เช่นเดียวกัน  ท่านก็เลยให้คนไปเรียกข้าพเจ้าให้ไปหา  ความจริงก่อนหน้านั้นข้าพเจ้ายังไม่เคยได้พบได้เห็น  ได้กราบนมัสการท่านเลย  และท่านหลวงปู่ก็ไม่เคยเห็นหรือรู้จักตัวข้าพเจ้ามาก่อนเหมือนกัน  แต่ท่านก็ได้ให้ความเมตตาข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  

       หลังจากที่สนทนาปราศรัยกันพอสมควรแล้ว  ท่านก็ไต่ถามข้าพเจ้าว่า

         “  เมื่อเสร็จงานศพแล้ว  จะไปไหนต่อไป “  
       
         ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า  “  กระผมจะไปเที่ยวปักษ์ใต้จังหวัดภูเก็ตตามท่านอาจารย์เทสก์ไปขอรับ "

         ท่านห้ามว่า  “  อย่าไปเลย  ให้ไปอยู่กับผมที่ถ้ำเป็ดเถอะ"

         ข้าพเจ้าค้านท่านว่า  “ ผมจะไปปักษ์ใต้ครับ  ผมนัดกับท่านวันไว้แล้ว “

         ท่านก็ยืนยันไม่ให้ไป ไม่ว่าข้าพเจ้าจะกราบเรียนบ่ายเบี่ยงเช่นไรท่านก็ไม่ให้ไปท่าเดียว  ผลที่สุดท่านคงเห็นว่า ข้าพเจ้าหัวดื้อ  ต้องการจะไปปักษ์ใต้กับท่านอาจาย์วันตามไปอยู่ด้วยท่านพระอาจารย์วันตามไปอยู่ด้วยท่านพระอาจารย์เทสก์จริง ๆ พูดเท่าไรคงไม่ฟัง  ท่านจึงต้องยอมขยายความนัย

       ท่านกรุณาเล่าให้ฟังว่า

       “ เวลาผมมาจากจังหวัดเชียงใหม่  แล้วเข้าไปนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น  ท่านพระอาจารย์มั่นถามผมว่าท่านขาวรู้จักท่านจวนไหม  ผมก็เรียนท่านว่าไม่รู้จักท่านก็ว่า  ท่านจวนคนอำเภออำนาจเจริญ  จังหวัดอุบล ฯ อำเภอเดียวกับท่านขาวนะ  ท่านจวนมาอยู่กับผมนี้  ต่อไปขอฝากท่านจวนด้วย  ขอให้ท่านช่วยกำกับดูแลรักษาท่านจวนด้วย  รักษาท่านจวนเน้อ  อย่าปล่อยไปให้รักษากัน.....  หลวงปู่บอก  “ ท่านอาจารย์มั่นสั่งกำชับผมไว้แล้ว  ไม่ให้ท่านไปไหน  ให้ท่านอยู่กับผม  เมื่อผมมาพบท่านแล้ว  จึงไม่อยากให้ท่านไปที่อื่น  ให้ท่านอยู่กับผมเพราะท่านอาจารย์มั่นสั่งอย่างนั้น

       ระหว่างที่ข้าพเจ้านิ่งงง  ด้วยไม่ทราบว่า  ท่านผู้ใหญ่ฝากฝังกันไว้เสร็จแล้ว  หลวงปู่ขาวก็อธิบายต่อไป

       “ ผมรับคำท่านอาจารย์มั่นแล้ว  ถ้าปล่อยให้ท่านไปไหนก็เหมือนผมไม่เคารพท่านอาจารย์มั่น  และท่านจวนเอง  ก็เหมือนไม่เคารพท่านอาจารย์ใหญ่อีก “

       เมื่อท่านบอกกล่าวถึงอย่างนี้ข้าพเจ้าก็ใจอ่อนยวบลงเลยรับคำท่านว่า  จะไม่ไปไหน  แต่จะอยู่กับหลวงปู่ขาว  ด้วยความเคารพในโอวาทของท่านพระอาจารย์มั่นที่สั่งการไว้

       หลวงปู่ขาวก็เลยรับรองทุกสิ่งทุกอย่าง  ค่ารถ  ค่าเรือ  ท่านออกให้ข้าพเจ้าหมด  แล้วข้าพเจ้าก็ตามท่านไปอยู่ที่ถ้ำเป็ด  อ.ส่องดาว  จังหวัดสกลนคร


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น