วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

5.แสวงธรรม - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ

แสวงธรรม

            ข้าพเจ้าได้ทำราชการกรมทาง  ตั้งแต่อายุ  18 ปี จนอายุ 21 ปีเต็ม  จึงลาออก  ในระหว่างเป็นฆราวาสนิสสัยไม่ชอบทางสร้างบาปสร้างกรรม  แม้แต่เข็มเล่มเดียวก็ไม่เคยหยิบฉวยของใคร  การพนันทุกประเภทไม่เคยเล่นไม่เคยชอบ  เพื่อนมาชวนเล่นการพนันเท่าไร  ก็ไม่ยอมเล่นด้วย  จนกระทั่งวันจะออกบวช  เห็นเพื่อนเล่นโบก  เลยอยากทดลองเล่นดูบ้าง  เป็นการส่งท้ายชีวิตฆราวาส  ว่าการพนันเป็นอย่างไร  เกิดมาไม่เคยเล่นกับเขา  ลงเงินไป 5 สตางค์  แต่เสียถึง 10 สตางค์  เลยเห็นโทษของการพนัน  และนึกอธิฐานว่า  ถ้าข้าพเจ้าจะเกิดมาอีก  ขออย่าให้มีนิสัยเล่นการพนันทุกประเภทเลย

            เป็นคนหนักในทางศรัทธาจริต  เช่นเมื่อเป็นเด็กพี่สาวได้บอกว่า  จวนเอ๊ย  ผู้เฒ่าโบราณท่านว่า  ถ้าไปเล่นมาแล้ว  เวลาจะขึ้นบ้าน  ให้กราบบันได 3 หน  แล้วให้ไปกราบก้อนเส้าที่โรงครัวอีก 3 หน  แล้วจึงเข้าไปที่นอน  ให้ไปกราบพระพุทธ  พระธรรม   พระสงฆ์   และคุณบิดา  มารดา 3 หน  แล้วจึงนอน  โบราณผู้เฒ่าว่า  ถ้าทำได้ดังนั้นจะมีความสุขความเจริญ  คิดอะไรก็สมประสงค์  ทำอะไรก็จะเจริญงอกงาม   ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เชื่อและปฏิบัติตามโดยไม่สงสัยดื้อดึงอะไร

            ต่อมา  พี่สาวก็สอนอีกว่า  จวนเอ๊ย  เงินไม่มีพอหมื่น  อย่ากินแกงหมากแดง  เงินไม่มีพอแสน อย่ากินแกงหนอไม้ ก็เลยไม่กินแกงหน่อไม้  ไม่กินแกงหมากแดงเลยเพราะเห็นว่าตนไม่มีเงินพอหมื่น  ไม่มีเงินพอแสน

            อยู่มาพี่สาวก็บอกอีก จวนเอ๊ย  อย่ากินของดิบนะ ให้กินของสุก เพราะโบราณว่า  ถ้ากินของดิบจะเป็นยักษ์เป็นเปรต  เป็นผี    ฉะนั้นข้าพเจ้าก็เลยหยุดการกินของดิบ  การกินลาบ  กินก้อย  กินปลาร้าดิบ  เพราะกลัวเป็นยักษ์  เป็นเปรต  เป็นผี  อย่างพี่สาวว่า

            พี่สาวสอนอีก จวนเอ๊ย  อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขานะ  อย่าไปผิดลูกสาวเขานะเวลาใหญ่แล้ว ไม่ดีจะเสียหน้าเสียตา  จะเสียชื่อ  เสียเสียง  เสียโคตร  เสียวงศ์ทำให้เขามีลูกมีเต้าไม่ได้  อับอายขายหน้า   เสียเงินเสียทองของพ่อแม่ ข้าพเจ้าก็จำไว้  และไม่ได้ประพฤติล่วงเกินลูกเมียใครเลย

            นับว่าเป็นเด็กเชื่อง่าย  งมงาย  ไม่มีเหตุผลในภายหลัง  ได้รับหนังสือ  จตุราลักษณ์ของท่านพระอาจารย์เสาร์  กันตสีโลด้วย  ท่านได้แต่งแสดงว่า  ให้คนเรารู้จักระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า  คือให้เจริญพุทธานุสติ  1  ให้เจริญเมตตานุสติ  1  ให้เจริญอสุภานุสติ  1  ให้เจริญมรณานุสติ  อีก  1   รวมเป็นลักษณะ  4  ประการด้วยกันของมนุษย์ผู้เจริญ  เมื่ออ่านหนังสือ จตุราลักษณ์และตรวจไปถึง  มรณานุสติ  จิตสังเวชว่า  เรานี่ต้องมีตายอยู่นั่นเอง  ท่านพระอาจารย์เสาร์ได้ย้ำเรื่องของกรรมว่า  คนเรานี้ย่อมมีกรรมเป็นของ ๆ ตนมีกรรมเป็นผู้ให้ผล  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  เราทำกรรมอันใดไว้เป็นบุญหรือบาป  เมื่อยังมีชีวิตอยู่  กรรมนั้นจักเป็นทายาท ให้เราได้รับผลของกรรมนั้นสืบต่อ ๆ ไปคือหมายความว่า  กรรมนี้แหละย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้เป็นไปต่าง ๆ นานา  ให้เลว  ให้ดี  ให้ชั่ว  ให้ประเสริฐก็เพราะผลของกรรมที่ทำไว้    

หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล


            เมื่ออ่านถึงตอนนี้แล้ว  ก็บังเกิดความเบื่อหน่ายสลด  สังเวชใจอย่างยิ่ง  นึกขึ้นมาว่าคนเรานี้เกิดมา  ถ้าไม่ประกอบคุณงามความดี  ก็ไม่มีประโยชน์แก่ชีวิตของตน  และไม่มีประโยชน์อันจะรับความสุขต่อ ๆ ไปในชาติหน้าอีก

            เกิดความเชื่อ  ความเสื่อมใสอย่างนั้น  แต่ปัญญาก็ยังอ่อนอยู่  ระหว่างอายุ  20  ปี  เมื่อได้อ่านหนังสือของท่านพระอาจารย์เสาร์  กันตสีโล  เรื่อง  จตุราลักษณ์  และท่านย้ำเรื่อง  กรรมนี้  ก็เลยมีจิตศรัทธา  เป็นเจ้าภาพสร้างมหากฐินคนเดียว  เพราะเสื่อมใส  ศรัทธาว่าการทำบุญย่อมได้บุญ  การทำบาปย่อมได้บาป  บุญเมื่อทำแล้วย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ในโลกหน้าข้าพเจ้าจึงมีศรัทธาสละเงินที่ได้รับระหว่างทำงานอยู่กรมทางหลวงแผ่นดิน  4  ปี  เก็บหอมรอมริบไว้เป็นเจ้าภาพ  สร้างมหากฐินคนเดียว  และสร้างพระประธานสร้างเสริม  ในวัดเจริญจิต  บ้านโคกกลาง  จนหมดเงิน

            เรียกว่า  เป็นผู้มีศรัทธาจริตมาก  แต่ปัญญาก็อ่อนมากเช่นเดียวกันเมื่อข้าพเจ้าอายุครบ  21  ปีบริบรูณ์  ได้ไปบวชฝ่ายมหานิกายที่วัดเจริญจิต  บ้านโคกกลาง  ตำบลดงมะยาง  อำเภออำนาจเจริญ  จังหวัดอุบลราชธานี  พระอุปัชฌายะชื่อ บุ  พระกัมมวาจาจารย์  ชื่อพระมหาแจ้ง  ได้ฉายาว่า  พระจวน  กลฺยาณธมฺโม   ในพรรษาแรกนั้น  ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมและสอบได้นักธรรมตรีในพรรษานั้น

วัดเจริญจิต บ้านโคกกลาง ต.ดงมะยาง อ.อำนาจเจริญ
วัดที่บวชเป็นมหานิกาย พ.ศ. 2484

พระประธานในวัดเจริญจิต ท่านพระอาจารย์จวน สร้างถวาย
หลังจากที่ได้ทำงาน 4 ปี ได้เก็บหอมรอมริบเงินเดือนที่ได้รับจัดทอดกฐิน
สร้างพระประธาน และสร้างส้วม ทำบุญจนหมดเงิน

กุฎิเจ้าอาวาส เป็นกุฎิที่เก่าที่สุดในวัด
เชื่อว่าสร้างมาแต่สมัยท่านอาจารย์บวช

            ในขณะที่ข้าพเจ้ายังบวชเป็นพระบ้านอยู่นั้น  ก็คิดอยากจะออกธุดงค์  จึงคิดจะญัตติเป็นธรรมยุตเพื่อออกธุดงค์  จึงไปขอลาอุปัชฌาย์  เรียนท่านว่าอยากจะญัตติเป็นธรรมยุต  อุปัชฌาย์ไม่ให้ญัตติ  ว่าต้องสึกจะญัตติเป็นธรรมยุต  อุปัชฌาย์ไม่ให้ญัตติ ว่าต้องสึกเสียก่อน  ตกลงเลยตัดสินใจลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาสก่อนชั่วคราว  เพื่อรอการไปบวชเป็นฝ่ายธรรมยุตกัมมัฏฐาน

            ระหว่างที่กำลังแสวงหาวัดฝ่ายธรรมยุตกัมมัฏฐานฐานอยู่นั้น  ข้าพเจ้าได้ไปประกอบอาชีพค้าขายรับจ้างตัดเย็บผ้า  ระยะนั้นเป็นเวลาสมัยสงครามอินโดจีน  ซึ่งไทยรบกับฝรั่งเศส  ผ้าหายากและมีราคาแพง  โดยเฉพาะผ้าแพร  ข้าพเจ้าต้องออกตระเวนเดินทางไปตามหมู่บ้านเพื่อหาผ้าไหมทอพื้นบ้านมาขาย  ทางภาคกลางเวลานั้นยอมนุ่งผ้ากระสอบป่านด้วยซ้ำไป  ข้าพเจ้าเดินทางไปถึงกลางดงมะอี่  ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวภูไท  มีผ้าไหมพื้นบ้านมาก  กลับจากซื้อผ้าไหมก็ป่วยหนัก  เป็นไข้มาเลเซียกินยาอะไรก็ไม่หาย  จึงไม่ขออธิษฐานว่า  ถ้าข้าพเจ้ามีบุญวาสนาจะได้บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว  ขอให้หายป่วยโดยเร็ว  ถ้าหายป่วยเมื่อไรก็จะเดินทางไปบวชเมื่อนั้น  หลังจากอธิษฐานแล้ว  อาการเจ็บป่วยก็บังเอิญค่อยทุเลาลงจนหายขาด

            เมื่อหายดีแล้ว  จึงได้เดินทางไปแสวงหาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุตเพื่อจะบวช  ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่า  อาจารย์พระกัมมัฏฐานฝ่ายธรรมยุตอยู่ที่ไหน  ได้ยินแต่ชื่อพอดีได้พบเพื่อนคนหนึ่งเขาคุยว่า  เขาคุ้นเคยกับวัดป่าเลยถามเขาว่า  พระกัมมัฏฐานในอำเภอมีไหม เขาบอกว่า  มี   ถามเขาว่า  เพื่อนจะพาเราไปหาท่านได้ไหม   เขาตอบว่า  ได้   แล้วเขาก็พาข้าพเจ้าไปหาพระที่วัดป่าสำราญนิเวศน์  อำเภออำนาจเจริญ

            ข้าพเจ้าได้นมัสการท่าน  และเล่าเรื่องให้ท่านฟังเกี่ยวกับการที่สนใจจะขออุปสมบทเป็นพระฝ่ายธรรมยุต  ท่านก็มีความยินดีต้อนรับ   ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจแน่นอนว่าจะบวชเป็นพระธรรมยุต ท่านก็บอกวิธีฝึกหัดขานนาค  คือ  เรียนมคธภาษา  และมอบหนังสือวิธีอุปสมบทธรรมยุตให้  พร้อมทั้งสอนวิธีเปลี่ยนคำมคธข้าพเจ้าเรียนอยู่กับท่านพอประมาณแล้วก็ลาท่านเดินทางกลับบ้าน  ก่อนหน้านั้นเพื่อนที่ไปด้วยก็ยังไม่ทราบความนัยเรื่อที่ข้าพเจ้าจะขอบวชเลย  เพิ่งทราบต่อเมื่อข้าพเจ้าไปพูดกับพระท่านว่าจะบวช  ครั้งแรกเพื่อนไม่เชื่อ  พอพากันออกมาจากวัดเพื่อนทั้งสองคน  นั่นแหละรุมกันหาว่าข้าพเจ้าไปปด  ไปหลอกลวงอาจารย์ว่าจะบวช  ตัวท่านจะบวชได้อย่างไร บวชไม่ได้หรอกเราไม่เคยได้ยินเลย  ข้าพเจ้าจึงบอกเพื่อนว่า เป็นความตั้งใจจริงของเรา  เราจะบวชจริง ๆ  แต่เพื่อนอย่าเพิ่งไปบอกใคร ๆ ขอให้ช่วยปิดความลับของเราไว้  ถ้าเพื่อนปิดความลับของเราไว้ได้จริง ๆ ไม่ไปบอกใคร  ๆ ได้  เราจะให้รางวัล  คือ  หมวกใบที่เราใส่อยู่นี้  ราคา  12  บาทเพื่อนเห็นข้าพเจ้าพูดขึงขังจริงจังเช่นนั้น  จึงยอมเชื่อและรับอาสาว่าจะไม่ปริปากบอกใครเลย

            สำหรับเครื่องบริขารที่จะอุปสมบทนั้น  ข้าพเจ้าได้เก็บรวบรวมไว้  แต่ครั้งเมื่อบวชมหานิกาย  ทุกสิ่งทุกอย่างมีครบ  บาตร  กลด  มีดโกน...ยังขาดอยู่แต่สังฆาฏิ  2  ชั้นเท่านั้น  เพราะไม่รู้ว่าพระธรรมยุตบวชสังฆาฏิ  2  ชั้น  ต่อจากนั้นจึงได้นัดเพื่อนด้วยกันว่า  เวลาตอนเย็นเมื่อรับประทานอาหารแล้ว  ให้เพื่อนไปที่หน้าบ้านเรา  แล้วก็ร้องเรียกเราว่า เพื่อน....... เพื่อนเอ๊ยไปเที่ยวเล่นสาวกันเถอะ ให้เขาว่าอย่างนั้นแล้วเราก็จะตอบเพื่อนว่า  เดี๋ยวก่อน รอให้เราแต่งตัวหวีผมทาแป้งก่อน   แล้วให้เพื่อนแอบเล็ดลอดเข้ามาใต้ถุนบ้านเรามาคอยอยู่ตรงกับหน้าต่างของเรา  แล้วเราก็จะส่งบริขารเครื่องบวชออกให้เพื่อนช่วยคอยรับเอา   เมื่อเพื่อนรับของไปได้หมดแล้ว  ก็ให้เพื่อนเล็ดลอดกลับไปยืนรออยู่หน้าบ้านที่เดิม  แล้วให้เพื่อนร้องเรียกว่า ไปเถอะเพื่อน  แต่งตัวเสร็จหรือยัง "  เราก็จะบอกว่า  เสร็จแล้ว  กำลังจะลงเรือน   นัดกันเช่นนี้  พอถึงเวลา  เพื่อนก็มาและเจรจาตามนัดแนะกันข้าพเจ้าก็ยกสิ่งของออกจากตู้ไปให้เพื่อน  แล้วรีบพาเพื่อนออกเดินทางไปตอนกลางคืน  ไปซุกซ่อนบริขารไว้ที่กลางป่าห่างจากบ้านประมาณ 1  กิโลเมตร  แล้วก็บอกฝากไว้เทวดาว่า  เทวดา  เจ้าภูมิ  เจ้าป่า  จงช่วยรักษาบริขารของข้าพเจ้าไว้  พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะมารับคืนไปบวชเป็นธรรมยุต   ความจริงก็ไม่ทราบว่า  เทวดามีหรือไม่  อยู่ที่ไหน  แต่ก็พูดเรื่อยเปื่อยไปเช่นนั้น  แล้วก็กลับบ้าน 

            พอรุ่งขึ้นนัดเพื่อนนำบริขารไปหาอาจารย์  ท่านตรวจดูบริขารแล้วก็บอกว่า  ขาดสังฆฏิ  2  ชั้น  ท่านตัดมาให้แล้วสั่งให้ข้าพเจ้าเอาไปเย็บเอง โดยสั่งให้ไปเย็บที่ร้านในตลาดในอำเภอ  ซึ่งเป็นร้านลูกหลานของท่านอาจารย์นั่นเอง  ข้าพเจ้านำไปเย็บที่บ้านนั้นอยู่  1 คืน  จึงสำเร็จนำกลับไปให้ท่านอาจารย์ตรวจดู  ท่านว่าใช้ได้จัดซักย้อมจนได้สีที่ต้องการแล้ว  ท่านก็เตรียมกำหนดวันที่จะอุปสมบทให้  แล้วถามว่า  การที่เธอจะมาบวชนี้ได้ขออนุญาตบิดา มารดาพี่น้องแล้วหรือยัง  ข้าพเจ้าตอบสั้น ๆ ว่า  ยังครับ  ท่านให้กลับไปบอกบิดามารดาเสียก่อนจึงจะกำหนดวันอุปสมบทแน่นอนได้  จำเป็นดังนั้นข้าพเจ้าจึงกลับบ้านไปบอกมารดาและญาติพี่น้อง  

            กลับไปถึงบ้าน  ข้าพเจ้าก็นัดญาติมาชุมนุมที่บ้านตอนเย็นหลังจากรับประทานอาหารแล้ว  ญาติพี่น้องก็ดีใจ  นึกว่าข้าพเจ้าจะให้เขาไปหาสาวมาให้แต่งานด้วยเพราะข้าพเจ้าอายุวัยขนาดนี้แล้วก็คงคิดจะแต่งงานเมื่อญาติพี่น้องมาชุมนุมครบถ้วนแล้ว  ข้าพเจ้าจึงได้แจ้งให้ญาติพี่น้องทราบว่า  ที่เชิญญาติมาชุมนุมคราวนี้มิใช่อื่น  ข้าพเจ้าจะลาแม่และญาติพี่น้องไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุตกัมมัฏฐานในวันพรุ่งนี้นั่นเองญาติพี่น้องได้ฟังก็ตกใจ  โดยเฉพาะมารดาให้ทัดทานเสียงแข็ง  บอกว่า  เจ้าจะไปบวชอย่างไร  เราจะแต่งงานให้เจ้าอยู่นี่แหละ   ข้าพเจ้าเลยถามมารดาว่า  จะให้แต่งงานกับใคร มารดาบอกว่า  ให้แต่งงานกับนางสาวทา  
           ก็ถามว่า " สาวทาไหน เพราะในหมู่บ้านเรามีสองทาด้วยกัน " มารดาตอบว่า  สาวทาหลานกำนันเรานี่แหละ   ข้าพเจ้าจึงบอกว่า เอ........ทาไหนก็ไม่เอาหรอก  ผู้หญิงนี่เหม็นขี้มัน   มารดาเลยถามว่า  เราเคยเห็นขี้เขาหรือถึงรู้ว่าเหม็น   ก็พูดว่า  ถึงไม่เห็นก็รู้ว่าเหม็น  ของใครก็เหม็นเหมือนกันหมด  ของแม่ก็เถอะ  ไม่เชื่อลองดมดูซี    มารดาก็เลยเอ็ดเอาว่า  โฮ๊ย.....เด็กบ้า...เว้าอะไรบ้า ๆ อย่างนี้

            ข้าพเจ้าเลยพูดปลอบโยนมารดาว่า   ธรรมดาบุตรมีศรัทธาจะบวชนั้น  เป็นกุศลอย่างยิ่ง  บิดามารดาไม่ควรจะขัด  คัดค้านไม่ให้บวช  พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าบาปมากถ้ามาขัด  ตายก็จะตกนรก  ไม่ได้พบพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปสวรรค์  เพราะลูกจะไปทางดี  กลับไปขัดเขา   มารดาได้ยินดังนั้นก็เลยใจอ่อน  ยอมอนุโมทนา  พร้อมทั้งญาติพี่น้องทั้งหมดก็เลยช่วยอนุโมทนาด้วย 

พี่สาวข้าพเจ้ายังไม่เชื่อใจข้าพเจ้า  จึงซักถามว่า  เคยบวชวัดบ้านแล้ว  ทำไมจึงมาบวชวัดป่าอีก   เพราะอยากบวช   บวชที่นี้จะไม่สึกหรือ   พี่สาวถามจึงได้ตอบว่า    ไม่.....การบวชครั้งนี้ตัดสินใจแล้ว  พิจารณาแล้วจึงออกบวช  ถ้าจะสึกอยู่ ไม่บวช  ถ้าบวชแล้ว ไม่สึก "

            ได้ยินข้าพเจ้าประกาศก้องต่อหน้าต่อหน้าญาติ ๆ เช่นนั้น  พี่สาวก็เลยว่า  บักนี่มันคุยหลาย  อย่างเก่งจะบวชได้แค่  2 - 3  พรรษาก็หลายแล้ว  จะอยู่ไม่ได้น่ะซี "
            ข้าพเจ้าก็ว่า พี่คอยดูก็แล้วกัน  ถ้าจะสึกอยู่ ไม่บวช  ถ้าบวช ไม่สึกดอก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น