แสวงธรรม
ข้าพเจ้าได้ทำราชการกรมทาง ตั้งแต่อายุ
18 ปี จนอายุ 21 ปีเต็ม
จึงลาออก
ในระหว่างเป็นฆราวาสนิสสัยไม่ชอบทางสร้างบาปสร้างกรรม แม้แต่เข็มเล่มเดียวก็ไม่เคยหยิบฉวยของใคร การพนันทุกประเภทไม่เคยเล่นไม่เคยชอบ เพื่อนมาชวนเล่นการพนันเท่าไร
ก็ไม่ยอมเล่นด้วย
จนกระทั่งวันจะออกบวช
เห็นเพื่อนเล่นโบก เลยอยากทดลองเล่นดูบ้าง
เป็นการส่งท้ายชีวิตฆราวาส
ว่าการพนันเป็นอย่างไร
เกิดมาไม่เคยเล่นกับเขา ลงเงินไป 5
สตางค์ แต่เสียถึง 10 สตางค์ เลยเห็นโทษของการพนัน และนึกอธิฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าจะเกิดมาอีก ขออย่าให้มีนิสัยเล่นการพนันทุกประเภทเลย
เป็นคนหนักในทางศรัทธาจริต เช่นเมื่อเป็นเด็กพี่สาวได้บอกว่า “จวนเอ๊ย ผู้เฒ่าโบราณท่านว่า ถ้าไปเล่นมาแล้ว เวลาจะขึ้นบ้าน ให้กราบบันได 3 หน แล้วให้ไปกราบก้อนเส้าที่โรงครัวอีก 3 หน แล้วจึงเข้าไปที่นอน ให้ไปกราบพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ และคุณบิดา มารดา 3 หน
แล้วจึงนอน โบราณผู้เฒ่าว่า ถ้าทำได้ดังนั้นจะมีความสุขความเจริญ คิดอะไรก็สมประสงค์ ทำอะไรก็จะเจริญงอกงาม “
ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เชื่อและปฏิบัติตามโดยไม่สงสัยดื้อดึงอะไร
ต่อมา พี่สาวก็สอนอีกว่า “ จวนเอ๊ย เงินไม่มีพอหมื่น อย่ากินแกงหมากแดง เงินไม่มีพอแสน อย่ากินแกงหนอไม้ “ ก็เลยไม่กินแกงหน่อไม้
ไม่กินแกงหมากแดงเลยเพราะเห็นว่าตนไม่มีเงินพอหมื่น ไม่มีเงินพอแสน
อยู่มาพี่สาวก็บอกอีก
“ จวนเอ๊ย อย่ากินของดิบนะ ให้กินของสุก
เพราะโบราณว่า ถ้ากินของดิบจะเป็นยักษ์เป็นเปรต เป็นผี “ ฉะนั้นข้าพเจ้าก็เลยหยุดการกินของดิบ การกินลาบ
กินก้อย กินปลาร้าดิบ เพราะกลัวเป็นยักษ์ เป็นเปรต
เป็นผี อย่างพี่สาวว่า
พี่สาวสอนอีก “ จวนเอ๊ย
อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขานะ
อย่าไปผิดลูกสาวเขานะเวลาใหญ่แล้ว ไม่ดีจะเสียหน้าเสียตา จะเสียชื่อ
เสียเสียง เสียโคตร เสียวงศ์ทำให้เขามีลูกมีเต้าไม่ได้ อับอายขายหน้า เสียเงินเสียทองของพ่อแม่ “ ข้าพเจ้าก็จำไว้
และไม่ได้ประพฤติล่วงเกินลูกเมียใครเลย
นับว่าเป็นเด็กเชื่อง่าย งมงาย
ไม่มีเหตุผลในภายหลัง
ได้รับหนังสือ จตุราลักษณ์ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโลด้วย
ท่านได้แต่งแสดงว่า
ให้คนเรารู้จักระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
คือให้เจริญพุทธานุสติ 1 ให้เจริญเมตตานุสติ 1
ให้เจริญอสุภานุสติ 1 ให้เจริญมรณานุสติ อีก
1 รวมเป็นลักษณะ
4
ประการด้วยกันของมนุษย์ผู้เจริญ
เมื่ออ่านหนังสือ จตุราลักษณ์และตรวจไปถึง
มรณานุสติ จิตสังเวชว่า เรานี่ต้องมีตายอยู่นั่นเอง ท่านพระอาจารย์เสาร์ได้ย้ำเรื่องของกรรมว่า คนเรานี้ย่อมมีกรรมเป็นของ ๆ
ตนมีกรรมเป็นผู้ให้ผล
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
เราทำกรรมอันใดไว้เป็นบุญหรือบาป
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นจักเป็นทายาท
ให้เราได้รับผลของกรรมนั้นสืบต่อ ๆ ไปคือหมายความว่า กรรมนี้แหละย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้เป็นไปต่าง ๆ
นานา ให้เลว ให้ดี
ให้ชั่ว
ให้ประเสริฐก็เพราะผลของกรรมที่ทำไว้
หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
เมื่ออ่านถึงตอนนี้แล้ว ก็บังเกิดความเบื่อหน่ายสลด สังเวชใจอย่างยิ่ง นึกขึ้นมาว่าคนเรานี้เกิดมา ถ้าไม่ประกอบคุณงามความดี ก็ไม่มีประโยชน์แก่ชีวิตของตน และไม่มีประโยชน์อันจะรับความสุขต่อ ๆ ไปในชาติหน้าอีก
เกิดความเชื่อ ความเสื่อมใสอย่างนั้น แต่ปัญญาก็ยังอ่อนอยู่ ระหว่างอายุ
20 ปี เมื่อได้อ่านหนังสือของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล เรื่อง
จตุราลักษณ์ และท่านย้ำเรื่อง กรรมนี้
ก็เลยมีจิตศรัทธา
เป็นเจ้าภาพสร้างมหากฐินคนเดียว
เพราะเสื่อมใส
ศรัทธาว่าการทำบุญย่อมได้บุญ
การทำบาปย่อมได้บาป
บุญเมื่อทำแล้วย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ในโลกหน้าข้าพเจ้าจึงมีศรัทธาสละเงินที่ได้รับระหว่างทำงานอยู่กรมทางหลวงแผ่นดิน 4
ปี
เก็บหอมรอมริบไว้เป็นเจ้าภาพ
สร้างมหากฐินคนเดียว
และสร้างพระประธานสร้างเสริม
ในวัดเจริญจิต บ้านโคกกลาง จนหมดเงิน
เรียกว่า เป็นผู้มีศรัทธาจริตมาก
แต่ปัญญาก็อ่อนมากเช่นเดียวกันเมื่อข้าพเจ้าอายุครบ 21
ปีบริบรูณ์
ได้ไปบวชฝ่ายมหานิกายที่วัดเจริญจิต
บ้านโคกกลาง ตำบลดงมะยาง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี พระอุปัชฌายะชื่อ บุ พระกัมมวาจาจารย์ ชื่อพระมหาแจ้ง ได้ฉายาว่า
”พระจวน กลฺยาณธมฺโม “ ในพรรษาแรกนั้น ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมและสอบได้นักธรรมตรีในพรรษานั้น
วัดเจริญจิต บ้านโคกกลาง ต.ดงมะยาง อ.อำนาจเจริญ
วัดที่บวชเป็นมหานิกาย พ.ศ. 2484
พระประธานในวัดเจริญจิต ท่านพระอาจารย์จวน สร้างถวาย
หลังจากที่ได้ทำงาน 4 ปี ได้เก็บหอมรอมริบเงินเดือนที่ได้รับจัดทอดกฐิน
สร้างพระประธาน และสร้างส้วม ทำบุญจนหมดเงิน
กุฎิเจ้าอาวาส เป็นกุฎิที่เก่าที่สุดในวัด
เชื่อว่าสร้างมาแต่สมัยท่านอาจารย์บวช
ในขณะที่ข้าพเจ้ายังบวชเป็นพระบ้านอยู่นั้น ก็คิดอยากจะออกธุดงค์ จึงคิดจะญัตติเป็นธรรมยุตเพื่อออกธุดงค์ จึงไปขอลาอุปัชฌาย์ เรียนท่านว่าอยากจะญัตติเป็นธรรมยุต อุปัชฌาย์ไม่ให้ญัตติ ว่าต้องสึกจะญัตติเป็นธรรมยุต อุปัชฌาย์ไม่ให้ญัตติ ว่าต้องสึกเสียก่อน
ตกลงเลยตัดสินใจลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาสก่อนชั่วคราว เพื่อรอการไปบวชเป็นฝ่ายธรรมยุตกัมมัฏฐาน
ระหว่างที่กำลังแสวงหาวัดฝ่ายธรรมยุตกัมมัฏฐานฐานอยู่นั้น
ข้าพเจ้าได้ไปประกอบอาชีพค้าขายรับจ้างตัดเย็บผ้า ระยะนั้นเป็นเวลาสมัยสงครามอินโดจีน ซึ่งไทยรบกับฝรั่งเศส ผ้าหายากและมีราคาแพง โดยเฉพาะผ้าแพร
ข้าพเจ้าต้องออกตระเวนเดินทางไปตามหมู่บ้านเพื่อหาผ้าไหมทอพื้นบ้านมาขาย
ทางภาคกลางเวลานั้นยอมนุ่งผ้ากระสอบป่านด้วยซ้ำไป ข้าพเจ้าเดินทางไปถึงกลางดงมะอี่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวภูไท มีผ้าไหมพื้นบ้านมาก กลับจากซื้อผ้าไหมก็ป่วยหนัก เป็นไข้มาเลเซียกินยาอะไรก็ไม่หาย จึงไม่ขออธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้ามีบุญวาสนาจะได้บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้หายป่วยโดยเร็ว
ถ้าหายป่วยเมื่อไรก็จะเดินทางไปบวชเมื่อนั้น หลังจากอธิษฐานแล้ว อาการเจ็บป่วยก็บังเอิญค่อยทุเลาลงจนหายขาด
เมื่อหายดีแล้ว
จึงได้เดินทางไปแสวงหาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุตเพื่อจะบวช ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่า อาจารย์พระกัมมัฏฐานฝ่ายธรรมยุตอยู่ที่ไหน
ได้ยินแต่ชื่อพอดีได้พบเพื่อนคนหนึ่งเขาคุยว่า เขาคุ้นเคยกับวัดป่าเลยถามเขาว่า “ พระกัมมัฏฐานในอำเภอมีไหม “ เขาบอกว่า “ มี “ ถามเขาว่า “
เพื่อนจะพาเราไปหาท่านได้ไหม “ เขาตอบว่า
“ ได้ “
แล้วเขาก็พาข้าพเจ้าไปหาพระที่วัดป่าสำราญนิเวศน์ อำเภออำนาจเจริญ
ข้าพเจ้าได้นมัสการท่าน
และเล่าเรื่องให้ท่านฟังเกี่ยวกับการที่สนใจจะขออุปสมบทเป็นพระฝ่ายธรรมยุต ท่านก็มีความยินดีต้อนรับ
ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจแน่นอนว่าจะบวชเป็นพระธรรมยุต
ท่านก็บอกวิธีฝึกหัดขานนาค คือ เรียนมคธภาษา
และมอบหนังสือวิธีอุปสมบทธรรมยุตให้
พร้อมทั้งสอนวิธีเปลี่ยนคำมคธข้าพเจ้าเรียนอยู่กับท่านพอประมาณแล้วก็ลาท่านเดินทางกลับบ้าน ก่อนหน้านั้นเพื่อนที่ไปด้วยก็ยังไม่ทราบความนัยเรื่อที่ข้าพเจ้าจะขอบวชเลย
เพิ่งทราบต่อเมื่อข้าพเจ้าไปพูดกับพระท่านว่าจะบวช ครั้งแรกเพื่อนไม่เชื่อ พอพากันออกมาจากวัดเพื่อนทั้งสองคน นั่นแหละรุมกันหาว่าข้าพเจ้าไปปด ไปหลอกลวงอาจารย์ว่าจะบวช ตัวท่านจะบวชได้อย่างไร – บวชไม่ได้หรอกเราไม่เคยได้ยินเลย ข้าพเจ้าจึงบอกเพื่อนว่า
เป็นความตั้งใจจริงของเรา เราจะบวชจริง
ๆ แต่เพื่อนอย่าเพิ่งไปบอกใคร ๆ
ขอให้ช่วยปิดความลับของเราไว้
ถ้าเพื่อนปิดความลับของเราไว้ได้จริง ๆ ไม่ไปบอกใคร ๆ ได้
เราจะให้รางวัล คือ หมวกใบที่เราใส่อยู่นี้ ราคา
12
บาทเพื่อนเห็นข้าพเจ้าพูดขึงขังจริงจังเช่นนั้น จึงยอมเชื่อและรับอาสาว่าจะไม่ปริปากบอกใครเลย
สำหรับเครื่องบริขารที่จะอุปสมบทนั้น ข้าพเจ้าได้เก็บรวบรวมไว้ แต่ครั้งเมื่อบวชมหานิกาย ทุกสิ่งทุกอย่างมีครบ บาตร
กลด
มีดโกน...ยังขาดอยู่แต่สังฆาฏิ
2 ชั้นเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่าพระธรรมยุตบวชสังฆาฏิ 2
ชั้น
ต่อจากนั้นจึงได้นัดเพื่อนด้วยกันว่า
เวลาตอนเย็นเมื่อรับประทานอาหารแล้ว
ให้เพื่อนไปที่หน้าบ้านเรา
แล้วก็ร้องเรียกเราว่า “
เพื่อน....... เพื่อนเอ๊ยไปเที่ยวเล่นสาวกันเถอะ “
ให้เขาว่าอย่างนั้นแล้วเราก็จะตอบเพื่อนว่า
“ เดี๋ยวก่อน –
รอให้เราแต่งตัวหวีผมทาแป้งก่อน “
แล้วให้เพื่อนแอบเล็ดลอดเข้ามาใต้ถุนบ้านเรามาคอยอยู่ตรงกับหน้าต่างของเรา
แล้วเราก็จะส่งบริขารเครื่องบวชออกให้เพื่อนช่วยคอยรับเอา เมื่อเพื่อนรับของไปได้หมดแล้ว ก็ให้เพื่อนเล็ดลอดกลับไปยืนรออยู่หน้าบ้านที่เดิม แล้วให้เพื่อนร้องเรียกว่า “ ไปเถอะเพื่อน
แต่งตัวเสร็จหรือยัง "
เราก็จะบอกว่า “ เสร็จแล้ว กำลังจะลงเรือน “ นัดกันเช่นนี้ พอถึงเวลา
เพื่อนก็มาและเจรจาตามนัดแนะกันข้าพเจ้าก็ยกสิ่งของออกจากตู้ไปให้เพื่อน แล้วรีบพาเพื่อนออกเดินทางไปตอนกลางคืน ไปซุกซ่อนบริขารไว้ที่กลางป่าห่างจากบ้านประมาณ
1 กิโลเมตร แล้วก็บอกฝากไว้เทวดาว่า “ เทวดา เจ้าภูมิ
เจ้าป่า
จงช่วยรักษาบริขารของข้าพเจ้าไว้
พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะมารับคืนไปบวชเป็นธรรมยุต “ ความจริงก็ไม่ทราบว่า เทวดามีหรือไม่ อยู่ที่ไหน
แต่ก็พูดเรื่อยเปื่อยไปเช่นนั้น
แล้วก็กลับบ้าน
พอรุ่งขึ้นนัดเพื่อนนำบริขารไปหาอาจารย์ ท่านตรวจดูบริขารแล้วก็บอกว่า ขาดสังฆฏิ
2 ชั้น ท่านตัดมาให้แล้วสั่งให้ข้าพเจ้าเอาไปเย็บเอง
โดยสั่งให้ไปเย็บที่ร้านในตลาดในอำเภอ
ซึ่งเป็นร้านลูกหลานของท่านอาจารย์นั่นเอง
ข้าพเจ้านำไปเย็บที่บ้านนั้นอยู่ 1
คืน
จึงสำเร็จนำกลับไปให้ท่านอาจารย์ตรวจดู
ท่านว่าใช้ได้จัดซักย้อมจนได้สีที่ต้องการแล้ว ท่านก็เตรียมกำหนดวันที่จะอุปสมบทให้ แล้วถามว่า
การที่เธอจะมาบวชนี้ได้ขออนุญาตบิดา – มารดาพี่น้องแล้วหรือยัง
ข้าพเจ้าตอบสั้น ๆ ว่า
ยังครับ
ท่านให้กลับไปบอกบิดามารดาเสียก่อนจึงจะกำหนดวันอุปสมบทแน่นอนได้
จำเป็นดังนั้นข้าพเจ้าจึงกลับบ้านไปบอกมารดาและญาติพี่น้อง
กลับไปถึงบ้าน
ข้าพเจ้าก็นัดญาติมาชุมนุมที่บ้านตอนเย็นหลังจากรับประทานอาหารแล้ว ญาติพี่น้องก็ดีใจ นึกว่าข้าพเจ้าจะให้เขาไปหาสาวมาให้แต่งานด้วยเพราะข้าพเจ้าอายุวัยขนาดนี้แล้วก็คงคิดจะแต่งงานเมื่อญาติพี่น้องมาชุมนุมครบถ้วนแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้แจ้งให้ญาติพี่น้องทราบว่า ที่เชิญญาติมาชุมนุมคราวนี้มิใช่อื่น
ข้าพเจ้าจะลาแม่และญาติพี่น้องไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุตกัมมัฏฐานในวันพรุ่งนี้นั่นเองญาติพี่น้องได้ฟังก็ตกใจ โดยเฉพาะมารดาให้ทัดทานเสียงแข็ง บอกว่า
“ เจ้าจะไปบวชอย่างไร เราจะแต่งงานให้เจ้าอยู่นี่แหละ “ ข้าพเจ้าเลยถามมารดาว่า “ จะให้แต่งงานกับใคร “ มารดาบอกว่า “ ให้แต่งงานกับนางสาวทา “
ก็ถามว่า " สาวทาไหน เพราะในหมู่บ้านเรามีสองทาด้วยกัน " มารดาตอบว่า “ สาวทาหลานกำนันเรานี่แหละ “ ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ เอ........ทาไหนก็ไม่เอาหรอก ผู้หญิงนี่เหม็นขี้มัน “ มารดาเลยถามว่า “ เราเคยเห็นขี้เขาหรือถึงรู้ว่าเหม็น “ ก็พูดว่า “ ถึงไม่เห็นก็รู้ว่าเหม็น ของใครก็เหม็นเหมือนกันหมด ของแม่ก็เถอะ ไม่เชื่อลองดมดูซี “ มารดาก็เลยเอ็ดเอาว่า “ โฮ๊ย.....เด็กบ้า...เว้าอะไรบ้า ๆ อย่างนี้ “
ก็ถามว่า " สาวทาไหน เพราะในหมู่บ้านเรามีสองทาด้วยกัน " มารดาตอบว่า “ สาวทาหลานกำนันเรานี่แหละ “ ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “ เอ........ทาไหนก็ไม่เอาหรอก ผู้หญิงนี่เหม็นขี้มัน “ มารดาเลยถามว่า “ เราเคยเห็นขี้เขาหรือถึงรู้ว่าเหม็น “ ก็พูดว่า “ ถึงไม่เห็นก็รู้ว่าเหม็น ของใครก็เหม็นเหมือนกันหมด ของแม่ก็เถอะ ไม่เชื่อลองดมดูซี “ มารดาก็เลยเอ็ดเอาว่า “ โฮ๊ย.....เด็กบ้า...เว้าอะไรบ้า ๆ อย่างนี้ “
ข้าพเจ้าเลยพูดปลอบโยนมารดาว่า “ ธรรมดาบุตรมีศรัทธาจะบวชนั้น
เป็นกุศลอย่างยิ่ง
บิดามารดาไม่ควรจะขัด
คัดค้านไม่ให้บวช พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าบาปมากถ้ามาขัด ตายก็จะตกนรก
ไม่ได้พบพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปสวรรค์
เพราะลูกจะไปทางดี กลับไปขัดเขา “
มารดาได้ยินดังนั้นก็เลยใจอ่อน
ยอมอนุโมทนา
พร้อมทั้งญาติพี่น้องทั้งหมดก็เลยช่วยอนุโมทนาด้วย
พี่สาวข้าพเจ้ายังไม่เชื่อใจข้าพเจ้า จึงซักถามว่า
“ เคยบวชวัดบ้านแล้ว ทำไมจึงมาบวชวัดป่าอีก “ “ เพราะอยากบวช “ “
บวชที่นี้จะไม่สึกหรือ “
พี่สาวถามจึงได้ตอบว่า “
ไม่.....การบวชครั้งนี้ตัดสินใจแล้ว
พิจารณาแล้วจึงออกบวช ถ้าจะสึกอยู่
– ไม่บวช ถ้าบวชแล้ว – ไม่สึก "
ได้ยินข้าพเจ้าประกาศก้องต่อหน้าต่อหน้าญาติ
ๆ เช่นนั้น พี่สาวก็เลยว่า “ บักนี่มันคุยหลาย
อย่างเก่งจะบวชได้แค่ 2 - 3 พรรษาก็หลายแล้ว จะอยู่ไม่ได้น่ะซี "
ข้าพเจ้าก็ว่า
“พี่คอยดูก็แล้วกัน ถ้าจะสึกอยู่ –
ไม่บวช ถ้าบวช –
ไม่สึกดอก “
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น