วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

7.พรรษาที่ 1 พ.ศ.2486 วัดป่าบ้านพอก - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ



พรรษาที่  1  พ.ศ.  2486
วัดป่าบ้านพอก  หนองคอนทั้ง
อำเภอเลิงนกทา

เมื่อจะเริ่มเข้าพรรษา  ปรากฏว่า  ที่วัดพระอาจารย์บัง  ที่อำเภอเลิงนกทาไม่มีพระสวดปาฏิโมกข์ได้  ก็เลยมาขอตัวจากท่านอาจารย์พระอุปัชฌาย์  ท่านอาจารย์พระอุปัชฌาย์จึงให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่า  บ้านพอก  หนองคอนทั้ง  อำเภอเลิงนกทา

ในพรรษาแรกนี้  โยมมารดาได้มาบวชเป็นชีอยู่ด้วย  นอกจากกระทำความเพียรอย่างหนัก  โดยเร่งเดินจงกรมมาก  นั่งมาก แล้วยังอธิษฐานฉันเจอีกด้วยคือไม่ฉันเนื้อสัตว์  ฉันแต่ผัก  น้ำตาล  ส่วนอาหารคาวหวานที่บิณฑบาตรได้มา  ถ้าเป็นอาหารเนื้อก็ส่งให้โยมมารดา  บางครั้งบางสมัย  ก็อดข้าว อดอาหาร  ทั้งอดหลับอดนอนด้วย  ระยะ  4  คืน  4  วัน  บ้าง  ระยะ  8  คืน  8  วันบ้าง  แต่การบิณฑบาตรคงกระทำตลอดมิไดขาด  เพื่อบิณฑบาตรมาเลี้ยงโยมมารดา  เป็นการสนองคุณท่าน  ทั้งยังเพื่อแจกจ่ายแก่เพื่อนสหพรหมจรรย์ภิกษุสามเณรองค์อื่น ๆ ด้วย  ส่วนตัวเองเลือกฉันแต่อาหารเจ

ในระหว่างพรรษานั้น  วันพระคืนหนึ่งขณะนังฟังเทศน์ท่านอาจารย์อยู่  ข้าพเจ้าพระจวนบวชใหม่  ได้กำหนดจิตฟังไปตามคำเทศนา  จิตเกิดสงบลง  ปรากฎภาพร่างกายของตนนี้  เกิดขึ้นในจิต  เน่าเปื่อยเป็นอสุภะไปหมด  เหมือนมองดูด้วยตาเนื้อ  เห็นขาทั้งสองของตัวเอง  เปื่อยเน่าขาดเหวอะหวะมีบุพโพโลหิต  น้ำเหลืองไหลออก  เป็นอสุภะให้ข้าพเจ้าได้ยกขึ้นมาพิจารณาในเวลาต่อมาเรื่อย ๆ ได้เจริญภาวนาราวกับมองเห็นด้วยตากเปล่า ๆ

ในพรรษานี้  นอกจากนิมิตอสุภะดังกล่าวแล้วข้าพเจ้าเร่ทำความเพียรอย่างไม่ย่อหย่อน  ได้เกิดภาพนิมิตแปลก ๆ วันหนึ่งในตอนกลางพรรษาขณะภาวนาพุทโธ – พุทโธอยู่  จิตได้รวมลง  ปรากฏใสบริสุทธิ์หมดจดรู้สึกมีความสุขสบายจนไม่มีสิ่งใดจะประมาณเปรียบเทียบได้  แต่ก่อนหน้าจิตจะรวม  ได้เกิดภาพนิมิตขึ้นว่า  มีแม่ไก่สีลายตัวหนึ่งมาจิกกินอุจจาระอยู่ที่ตรงหน้า  ข้าพเจ้าจึงได้กำหนดจิตถามว่า “ จิกกินอะไร ?   แม่ไก่ตอบว่า  “ จิกกินอุจจาระ “  แล้วถามแม่ไก่ต่อไปว่า  “  ท่านเป็นใคร “  แม่ไก่ตอบว่า  “ ดูก่อนพระผู้เป็นเจ้า  ข้าพเจ้าเป็นเทวดา “  แล้วถามต่อไปว่า  “ เทวดาทำไมกินอุจจาระเล่า “  แม่ไก่เลยตอบว่า  “ ดูก่อนพระผู้เป็นเจ้า  มนุษย์เราทุกชาติทุกภาษา  ต้องกินอุจจาระคือกินขี้กันอย่างนี้แหละ  ทุกคนในโลกไม่พ้นจากความกินอุจจาระไปได้เลย “

ตอบแล้วแม่ไก่ก็หายไป   ข้าพเจ้าจึงน้อมเอานิมิตคำตอบของแม่ไก่ขึ้นมาพิจารณาคิดเอาว่า  มนุษย์เรานี้ก็ต้องกินอุจจาระกันทั้งหมดเลย  แล้วก็มาพิจารณาว่าเรากินอุจจาระจริงไหม  ที่เรากินข้าวปลาอาหารนั้น..... ข้าวจะเป็นขี้อย่างไร  เนื้อ  ปลาจะเป็นขี้อย่างไร  ผักจะเป็นขี้อย่างไร  พิจารณาไปก็เห็นว่า  อ้อ.....  ข้าวก็เกิดจากขี้ดิน  ทั้งปลาทั้งเนื้อ  พืชผักที่เราบริโภคขบฉันนี้  ล้วนแต่เรากินขี้ทั้งหมด  ทั้งหมดเกิดจากขี้ดินทั้งสิ้นข้าพเจ้าก็เลยเกิดสลดสังเวชอย่างยิ่งในพรรษานั้น ว่าเรานี้กินอุจจาระคือกินขี้เหมือนกัน

เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้เคยนำคำถามนี้ไปถามท่านอาจารย์ใหญ่  เมื่อได้มีโอกาสมาอยู่กับท่านในภายหลัง  ท่านก็ตอบว่า  จริง ๆ จริง  ไม่มีผิดเลย  เรากินขี้กันทั้งหมดทั้งนั้น....  ท่านรับรองเช่นนั้น

ครั้นรุ่งเช้าพอทำภัตตากิจคือฉันเสร็จ  ก่อนจะกลับขึ้นไปยังกุฏิ  ข้าพเจ้ากำลังนั่งเก็บเครื่องบริขารพับซ้อนให้เรียบร้อย  มองขึ้นไปบนหน้าจั่วทางทิศตะวันออกของกุฏิ  ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าจั่วนุ่งห่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีลายเหมือนแม่ไก่ได้เคยปรากฏในนิมิตแล้วไว้ผมยาว  ยืนถือตะกร้าหมากอยู่บนหน้าจั่วกุฏิมองมาที่ข้าพเจ้า  ข้าพเจ้ามองดูก็เห็นว่าเป็นหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามมาก  และก็นึกในใจว่า  ภาพที่ปรากฏเป็นอะไรแน่  ก็ได้คำตอบว่าภาพนั้นเป็นเทวดา  ข้าพเจ้าก็นึกว่า  เอ....เทวดา  ทำไมมายืนอยู่ที่นี่  แต่นึกแล้ว  ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ  เก็บเครื่องบริขารเรื่อยไป

ครั้งที่สอง  ตาเหลือบขึ้นไปก็ยังเห็นภาพเทวดาอยู่ที่เก่า  ยังไม่หายไปไหน  ข้าพเจ้าจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น  พร้อมกับคิดว่า  เอ....ทำไมเทวดาตนนี้จึงยังปรากฏให้เห็นอยู่อีก  แล้วก็ตั้งใจเก็บสิ่งของเครื่องบริขารของตนให้เรียบร้อย  ตั้งใจระวังรักษาจิตมิให้ ฟุ้งซ่าน  เพราะรู้อยู่ว่า  อันความงามนั้น  มักมีสิ่งที่ไม่งามซ่อนอยู่เบื้องหลังเสมอ

ครั้งที่สาม  มองดูใหม่เพื่อทดสอบว่า  รูปที่เห็นด้วยตานั้นจะยังเห็นอยู่หรือหายไป  ก็ปรากฏว่ารูปนั้นได้อันตรายธานหายไปเสียแล้ว  ในขณะนั้นจิตก็ระลึกขึ้นมาในใจว่า  อ๋อ  อย่างนี้หนอ  พวกภาวนา  เห็นภาพนิมิตต่าง ๆ ที่ปรากฏในขณะที่ตนภาวนานั้น  คือเห็นรูปภาพที่มาปรากฏนั่นเอง  เข้าใจเอาว่าตนได้ญาณ  คือ  ได้หูทิพย์  ตาทิพย์  และได้ล่วงรู้จิตใจของบุคคลอื่น  พวกนี้  เมื่อได้เห็นภาพนิมิตอย่างนี้  ก็น้อมใจเชื่อในภาพนิมิตที่ปรากฏขึ้นว่าตนได้บรรลุธรรมวิเศษ  มีมรรคผล  เป็นต้น  เลยเกิดทิฏฐิมานะอวดดิบอวดดีผลที่สุดพวกนี้ก็เลยเสื่อมไป  ไม่ได้รับประโยชน์  อันแท้จริงในธรรมะ  เรื่องนี้เคยปรากฏแก่พวกนักภาวนานักปฏิบัติมาเป็นหลายราย ๆ แล้ว  มีความปรากฏเกิดขึ้นในใจขณะนั้น

ในพรรษาที่  1  นั้น  ข้าพเจ้าก็ได้ทำความพาก  ความเพียรโดยขะมักเขม้นอย่างเต็มกำลัง  มีการรอดหลับอดนอน  อดอาหาร  สลับด้วยกันไปตลอดพรรษา  ส่วนด้านจิตใจก็มีความฝักใฝ่ในการภาวนา  ยังบริกรรมพุทโธ – พุทโธ  อยู่เป็นพื้น  บางครั้งก็มีการพิจารณาร่างกายของตนเองที่เคยปรากฏว่าเป็นอสุภะให้เห็นว่าเป็นของเน่า  ให้เห็นแตกสลาย  กลายลงเป็นดินในที่สุด

ขณะเดียวกัน  ทางด้านสนองคุณมารดานอกจากบิณฑบาตหาของขบฉันเลี้ยงโยมมารดาซึ่งมาบวชเป็นชีด้วยแล้ว  ข้าพเจ้าก็จัดแต่งทำทางจงกรมให้ท่านโดยจัดปูกระดานเลย  เพื่อให้ท่านไม่ต้องเหยียบดินให้  ลำบากกายหรือเจ็บเท้า  จะได้มีเวลาภาวนาจงกรมด้วยความสะดวกสบาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น