วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

17.พรรษา 10 พ.ศ 2495 จำพรรษาที่ดอนกระพุง - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ



พรรษา  10  พ.ศ  2495
จำพรรษาที่ดอนกระพุง
ชายป่าดงหม้อทอง  อ.วานรนิวาส

       พรรษาที่  10  นี้  ข้าพเจ้าจำพรรษาองค์เดียวอยู่ที่ดอนกระพุง   ชายดงหม้อทอง  บ้านม่วง  อำเภอวานรนิวาส  อาศัยชาวบ้าน  3  หลังคาเรือนบิณฑบาตเลี้ยงชีวิต  พวกเขาเป็นคนจน  เพราะเพิ่งอพยพเข้าไปหักร้างถางพงอยู่ใหม่  ๆ แม้จะจนยากหาเช้ากินค่ำ  แต่ก็อดทนมาก  มีศรัทธามาก

       ที่บริเวณนั้น  เชื่อกันว่า  เป็นที่เข็ดขวาง  คือ  เป็นที่ไม่ดีมีผีมาก  เป็นทุ่งร้าง  ว่างเว้นไม่มีคนกล้าไปทำมาหากิน  เพราะว่า  ไม่ว่าปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น  แห้งแล้งทั้ง ๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำสงคราม  เขาเรียกกันว่า  ทุ่งหนองอีดอนและทุ่งโซ่ง  ทุ่งโซ่งนี้  เคยเป็นที่อยู่ของพวกคนป่ากลุ่มหนึ่ง  เรียกกันว่า  พวกโซ่ง  แต่ตอนหลังก็ร้างไปหมด  เป็นทุ่งว่าง  แต่ก็มีลักษณะให้สังเกตคือยังมีต้นไม้ผล  เช่น  ต้นมะม่วงหลงเหลืออยู่  แสดงว่าคงมีบ้านเรือนผู้คนอยู่มาแต่โบราณ  หากขณะนั้นเป็นที่ยำเกรงว่าอยู่ไม่ได้  ผีจะขัดขวางไม่ให้อยู่  ปลูกอะไรก็จะไม่งอกงาม

       เมื่อข้าพเจ้าบอกว่าจะจำพรรษาที่นี่  ชาวบ้านก็ตกใจกันมาก  บอกว่า  อยู่ไม่ได้เพราะผีดุ  ถ้าอยู่ผีมันจะโกรธ  มาแกล้งทำให้เจ็บป่วยถึงตาย  ที่ทุ่งนี้กลายเป็นที่ร้างไปก็เพราะเหตุนี้แหละ  พวกเขามาตั้งบ้านเรือนกันก็ตั้งกันอยู่บริเวณรอบนอกหรอก

       ข้าพเจ้าไม่ฟังเสียงของเขา  คงจำพรรษาอยู่  ณ  ที่นั้นเพราะได้ตั้งใจไว้แล้ว

       พอถึงกลางพรรษา  เกิดนิมิตภาพขึ้นว่า  พวกผี  โซ่งพากันยกพรรค พวกมาเป็นฝูง  ๆ  พากันถือหอก  ถือดาบ  ถือปืน  อาวุธนานาชนิด  จะมาฆ่ามาฟันข้าพเจ้าให้ตาย  เมื่อมาถึงข้าพเจ้าก็พากันรุมใช้ทั้งดาบฟันหอกแทงและปืนยิง  ยิงเท่าไรก็ไม่ออก เอาหอกมาทุ่มแทงใส่ก็ไม่เข้า  เอามีดเอาพร้ามาฆ่าฟันก็ไม่เข้า ทำอย่างไร  ๆ  จนสุดความสามารถของเขา  แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายข้าพเจ้าได้  หัวหน้าผีก็เลยประกาศกับพวกบริวารผีว่า  เมื่อเราทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว  พวกเรามายอมท่านเสียเถอะ เลยพากันแต่งขัน  มีดอกไม้ธูปเทียนมาคารวะบูชาข้าพเจ้า ยอมอ่อนน้อมต่อข้าพเจ้า

       แม้จะเป็นเรื่องปรากฏในนิมิต  แต่ก็ประหลาดอย่างยิ่ง  ที่ต่อมาแถบบริเวณนั้นกลับปลูกบ้านเรือนได้  ปลูกข้าวทำนากันได้ผลดี  ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอันตรายใด ๆ และพวกประชาชนคนอด ๆ อยาก ๆ ไม่มีไร่ไม่มีนา  จึงได้พากันหลั่งไหล  เข้าไปจับจองที่วางเหล่านั้นเป็นที่ทำกิน  ต่อมาก็กลายเป็นไร่นาสาโททำข้าวกล้าบริบูรณ์  กลายเป็นคนพอมีพอใช้  มั่งคั่งพอสมควร

       เมื่อออกพรรษาแล้ว  ข้าพเจ้าได้ปรารภกับญาติโยมแถวนั้น  ว่าอยากจะเข้าไปอยู่ในดงหม้อทอง  เพราะบริเวณดอนกระพุงนี้ได้มีผู้อพยพ  เข้ามามากแล้ว  จึงควรหลีกเร้นหนีไปหาความสงัดต่อไป  นอกจากนั้นได้ข่าวว่าดงหม้อทองมีถ้ำใหญ่ ๆ อยู่มาก  มีภูเขาโขดหิน และพลาญหินสวยงามมากด้วย  ซักถามถึงความข้อนี้ญาติโยมก็รับว่าจริง  พวกผมเคยเห็น

       ข้าพเจ้าจึงขอให้โยมเขาพาไป  โดยเดินทางจากที่จำพรรษาตั้งแต่ฉันเสร็จในตอนเช้า  เดินตลอดวันสภาพภูมิประเทศเป็นป่าทึบ  รกชัฏ  พวกโยมเดินหน้าก็ต้องใช้มีดพร้าถางทางนำหน้า  พอเป็นช่องทางให้มุดลอด เดินไปได้  จนค่ำจึงถึงถ้ำที่ตั้งใจไป  ข้าพเจ้าตรวจดูบริเวณ  ก็เห็นว่าชัยภูมิน่าอยู่จริง  จึงขอให้ญาติโยมถากถางรื้อหลังถ้ำที่มีต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์รกเลี้ยวปกคลุมอยู่  เลยพักนอนที่นั่น  ตอนค่ำได้ยินเสียงสัตว์ป่าร้องระงมในดง  มีเสือมากมีช้างมาก  คืนนั้นเสือมาร้องคราง  คำรามอยู่โดยใกล้เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเสือร้อง  ทำเสียงเลียนสัตว์ต่าง ๆ ได้ที่ดงหม้อทองนี้เอง

       ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้อง  “ อู้ด...อื้อ   อู้ด...อื้อเหมือนเสียงวัว  ได้ยินครั้งแรกก็เข้าใจว่าเป็นวัว  จึงถามโยมบอกว่า  ไม่ใช่วัวหรอกครับ...เลยถามว่างั้นอะไร...ตอบว่าเป็นเสียงเสือใหญ่ครับ  ...แล้วเสือทำไมร้องเสียงเหมือนวัวล่ะ...ญาติโยมบอกว่า  มันร้องอย่างนี้แหละครับ  ธรรมดาเสือจะจับสัตว์อะไร  ก็จะต้องร้องเหมือนเสียงสัตว์นั้น  หากต้องการจับวัวก็ร้องเสียงเหมือนวัว  เพื่อล่อวัว  ถ้าจะจับหมาก็เห่าเหมือนหมาถ้าจะหลอกกวาง  ก็ร้องเหมือนกวาง  ....ปี๊บ....ปี๊บ เช่นนั้น  จะหลอกไก่ ก็ขันเหมือนไก่  แม้แต่มนุษย์เมื่อมันจะหลอกมันก็จะทำเสียงเหมือนคนพูดกันพึมพำทำให้คนหลงเชื่อ  นึกว่าเป็นมนุษย์เหมือนกัน เดินเข้าไปใกล้โดยไม่ระวังก็จะถูกจับเป็นเหยื่อได้โดยง่าย

ข้าพเจ้าจึงได้รู้อุบายอันชาญฉลาดของเสือ  ตอนดึกเสียงร้องเหมือนวัวก็หายไป  และได้ยินเสียงร้องเปลี่ยนใหม่ เป็น หม่าว  อือ  หม่าว  อือ  ฟังชัดๆก็เป็นอ่าว อือ อ่าวอือ  ตลอดคืนยังรุ่งเสียงไม่มีตกหรือเบาลงเลย  ข้าพเจ้าเดินจงกรมอยู่ที่นั้น  ฟังไปฟังมาก็ชักคุ้นกับเสียงเสือ  ไม่ได้นึกกลัวเลยอยากให้มันมาร้องให้ฟังทุกคืนทุกวัน  เพราะมันไพเราะดีและทำให้จิตสงบเร็วดี

       ฤดูแล้งแรกที่เข้าไปอยู่ดงหม้อทองนั้น  พวกญาติโยมที่ตามเข้าไปด้วยเขาอยากจะไปตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในดงหม้อทองบ้าง   ข้าพเจ้าจึงไปช่วยเลือกที่กำหนดที่ให้เขาตั้งบ้าน  เขาก็เลยถากถางป่าสร้างบ้านและ....ก็บอกกล่าวต่อ ๆ กันไปว่า  ข้าพเจ้าเจาะดงเข้าไปแล้ว  และจะอยู่จำพรรษาที่นั่นด้วย ความที่เขาเคยกลัวผี  กลัวป่าดงพงพี  กลัวสัตว์ป่า  ก็คลายลง  กลับมีความอุ่นใจขึ้นมาแทนที่  ประชาชนจากถิ่นต่าง ๆ จึงทยอยกันตามมา  ตั้งถิ่นฐานบ้านช่องเพราะเห็นว่า  ที่ดงหม้อทอง  ดินอุดมสมบูรณ์  ที่ทำเลทำมาหากินสะดวก  พวกประชาชนก็เลยอพยพตามเข้าไปตั้งบ้านเป็นปึกแผ่นแน่นหนา  เดิมทีดงแห่งนี้  ไม่มีหมู่บ้านข้าพเจ้าจึงเริ่มตั้งหมู่บ้านขึ้นให้ชื่อว่า  “ บ้านดงหม้อทอง “

       ไปอยู่ทีแรก  พวกเขาก็ต้องก่อร่างสร้างตัว  อดมื้อกินมื้อกันทั้งนั้น  แต่ภายหลังเมื่อตั้งบ้านเป็นปึกแผ่นแน่หนาแล้ว เดี๋ยวนี้  เขาก็เป็นผู้มีหลักฐาน  มีทรัพย์สมบัติพอสมควร  มีไร่นาสาโท  มีโรงสี  โรงเรือน  ไม่ยากจนข้นแค้นกันอีก

       พวกชาวดงหม้อทองนี้  แม้ข้าพเจ้ามาอยู่ภูทอกแล้ว  เขาจะพาลูกหลานจัดผ้าป่ามาเยี่ยมข้าพเจ้าที่ภูทอกเป็นประจำทุกปี  เด็กเล็ก ๆ  ในสมัยนั้น  มาปัจจุบันนี้จบปริญญาทำงานการกันเป็นหลักฐานหลายสิบคน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น