วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

24.พรรษาที่ 22–25 พ.ศ.2507– 2510 จำพรรษาที่ถ้ำบูชา - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ


บนภูวัว ภุมิประเทศอันงดงาม


พรรษาที่  22 – 25  พ.ศ.  2507 – 2510
จำพรรษาที่ถ้ำบูชา  ตาดสะอาม  ภูวัว

       แม้ระยะที่มาอยู่ถ้ำบูชา  บนหลังตาดสะอามตอนต้น ๆ จะรู้สึกลำบากมากเพราะเสนาสนะที่อยู่อาศัยไม่มี  ต้องอาศัยถ้ำ  อาศัยร่มไม้โดยตลอด.....เวลาอยู่รุกขมูลหรือร่มไม้  ฝนตกหนัก  พายุแรง  เพราะเป็นที่แจ้ง  เวิ้งว้าง  กลดมุ้งจะถูกพัดกระเจิง ถ้าเก็บอัฐบริขารไม่ทัน  ก็เปียกหมด   ตัวเราก็โชกไปทั้งตัว....เวลาอยู่ถ้ำ  อาศัยกันลมได้  แต่บางครั้งฝนตกกระหน่ำก็สาดเข้าไปในถ้ำเปียกหมดเช่นกัน  แต่ความลำบากทางกายเรานี้ก็มิได้ทำให้ย่อท้อ  การบำเพ็ญภาวนาสะดวกสบาย  เป็นที่สัปปายะมากอีกแห่งหนึ่งและพวกชาวบ้าน  ญาติโยม  ก็มีศรัทธาดี  ถึงวันพระจะขึ้นมาฟังธรรมกันอย่างไม่เห็นแก่ความลำบาก  น่าเห็นใจและอนุโมทนาในความเสียสละตั้งใจจริงของเขาดังนั้นข้าพเจ้าจึงตกลงใจอยู่จำพรรษาโปรดพวกเขาและได้จำพรรษาอยู่ถึง  4  พรรษาด้วยกัน  ตั้งแต่ พ.ศ.  2507  ตลอดไปจนถึงพ.ศ.  2510





       พรรษาแรกมีพระ  5  องค์  เณร  2  องค์  เท่านั้นต่างองค์ต่างแยกย้ายกันหาที่วิเวกตามถ้ำ  ตามร่มไม้ตามที่ถูกจริตนิสัยของตน  ไม่ข้องแวะกัน  มาพบกันเฉพาะเวลาฉันเท่านั้น  ปรารภความเพียรกันนอย่างไม่ประมาทได้สร้างโรงครัว  ศาลาโรงฉันข้างล่าง  และชวนพระเณร  ทำบันไดขึ้นหน้าผาขึ้นบนหลังตาดสะอามเพราะข้างบนนั้นเป็นชัยภูมิที่ดี  เหมาะแก่เป็นที่วิเวกรุกขมูล

       ถ้ำบูชานี้  แต่ก่อนมีวัตถุโบราณมีพระพุทธรูปโบราณชาวบ้านไปค้นพบ  ก็จะนำไปออกขายบ่อย ๆ มีข่าว  เล่าลือกันว่า  แม้พระพุทธรูปทองคำก็ยังหลงเหลืออยู่ในถ้ำในเขตภูวัวนี้เพราะพวกพราน  พวกชาวบ้านป่าสมัยโบราณได้เคยหลงทางเข้าไปพบเห็นกันมาแล้วแต่ไม่มีใครกล้านำออกมา  ด้วยเกรงต่ออำนาจเทพารักษ์ที่บำรุงรักษาสถานที่เหล่านั้น  จึงเพียรโจษขานเล่าให้ลูกหลานฟังต่อ ๆ กันมา  พวกญาติโยมสมัยนี้ก็อยากจะได้เห็น  ได้กราบบูชา  จึงมารบเร้าข้าพเจ้า  พวกเขาเองช่วยกันค้นหากันเท่าไรจนเต็มสติปัญญาแล้วไม่เห็นพบ ขอให้พระ  ให้เณร  ช่วยหาด้วยก็ไม่พบ

       วันหนึ่งระหว่างข้าพเจ้าภาวนา  ได้นิมิตไปว่ากำลังค้นหาพระแต่ไม่เห็นปรากฏไปเห็นยักษ์ตนหนึ่งเป็นยักษ์ผู้หญิงรูปร่างสูงใหญ่มาก  ตัวดำสนิทผมยาวรุงรัง  มีแต่ผ้านุ่งเปลือยกายท่อนบนตลอดอกยานใหญ่.....ใหญ่จริง ๆ ท้องก็อ้วนใหญ่  ยืนตระหง่านอยู่ที่น้ำตกสะอาม  ข้าพเจ้าเห็นยักษ์ก็เดินเข้าไปถาม

       “ ท่านมายืนอยู่ที่นี่ทำไม “

       เขาตอบว่า  ข้าพเจ้าเป็นยักษ์  อยู่ที่น้ำตกสะอามนี่  ที่อยู่ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่

       "ทำไมจึงเป็นยักษ์มาอยู่ที่นี่ "

       " เพราะแต่ก่อนเคยทำบาป "

       " เคยทำบาปอะไร " ข้าพเจ้าซัก

       เขาเลยตอบว่า " ตั้งแต่ชาติก่อน  นานมาแล้ว " ชาติไหนไม่ทราบ  ข้าพเจ้าไม่มีญาณระลึกชาติได้..... "  ชาตินั้น  ข้าพเจ้าเกิดเป็นมนุษย์  ข้าพเจ้าเป็นภรรยาของพระคุณเจ้า  ข้าพเจ้าเป็นผู้ทุกจริต  ประพฤติผิดมิจฉากาม  มีจิตในนอกกรีตนอกรอย  ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี  คือ พระคุณเจ้า  เป็นคนเล่นชู้ไปคบชายอื่นนอกจากสามีเป็นคนเกเรและเมื่อเวลาสามีจับทุจริตได้ก็เลยล่อลวงสามี  ปกปิดไว้ว่า  ไม่ได้ทำ  ไม่ได้ล่วงประเวณีด้วยบาปอกุศลกรรมอันนั้น  ทำให้ข้าพเจ้าต้องมาเกิดเป็นยักษ์อยู่  ณ  ที่นี้ "

       ข้าพเจ้านิ่งฟังด้วยความสลดสังเวชใจในบุพพกรรมเก่าของสัตว์โลก  เวลานั้นมัวแต่นึกสลดใจ  เลยเผลอไปไม่ทันคิดจะถามว่าเขาต้องใช้กรรมมาเกิดเป็นยักษ์นานมาเท่าใดแล้วได้แต่คิดถามเรื่องที่ญาติโยมรบเร้า

       " ที่นี่ – ที่ถ้ำสะอามนี้  เขาว่ามีพระพุทธรูปโบราณอยู่ใช่ไหม มีใช่ไหม ? "

         เขาบอกว่า  “ มี – มีอยู่ “

       "  ท่านรู้จักไหมที่อยู่ของพระพุทธรูป ? "

        เขาบอกว่า " รู้จัก "

       "  ถ้างั้นช่วยบอกได้ไหม "

         เขาสั่นหน้า " ไม่บอก "

       "  ทำไมไม่บอก  "

       " เพราะข้าพเจ้าเกลียดชังท่าน "

      "  เกลียดชังเราทำไม  "

       " เกลียดชังเพราะท่านละข้าพเจ้า  หย่าจากข้าพเจ้าไปในครั้งนั้น "  เขาบอก " พระพุทธรูปมีอยู่  แต่ไม่ให้เห็นหรอก "

        ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ  แต่ในนิมิตครั้งนั้น  ยักษ์ตนนั้นได้บอกข้าพเจ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าตื่นขึ้นพิจารณาถึงนิมิตด้วยความสลดสังเวชใจ  เลยแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เขาตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ปรากฏนิมิตเห็นเขาอีกเลยเขาจะพ้นทุกข์ไปแล้วหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ

       สำหรับเรื่องพระพุทธรูปทองคำนั้นข้าพเจ้าเลยบอกญาติโยมที่กำลังวุ่นวายไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากคอยไปค้นที่ถ้ำโน้น  คอยมาค้นที่ถ้ำนี้ว่าอย่าไปหาเลย  ไม่เห็นหรอกเขาไม่ให้เห็น

       เขาเชื่อกันหรือไม่ก็ไม่ทราบ  แต่ถึงจะหากันแทบล้มประดาตายกันอย่างไรก็ตาม  ก็หาไม่เห็นจริง ๆ

       นี่เป็นเหตุการณ์ระหว่างพรรษาที่อยู่ตาดสะอามถ้ำบูชา  จะจริงไม่จริงอย่างไร  ก็เป็นนิมิตฝันต่างหากมาเล่าสู่กันฟัง  เพื่อแก้ง่วงเหงาหาวนอนเท่านั้น  ผู้ฟังจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม  ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจอะไรไปบังคับให้เชื่อให้เห็นได้

        ในปี  2508  มีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นที่ภูสิงห์น้อย  ถ้าข้าพเจ้าไม่เล่าประวัติก็อาจจะไม่สมบูรจึงขอเล่าถึงเรื่องเหตุบังเอิญที่ภูสิงห์น้อยไว้ด้วย  ณ  ที่นี้

        คือระหว่าง  พ.ศ.  2507  ต่อ  พ.ศ.  2508  ท่านพระอาจารย์เพ็ง   เตชะพโล  ซึงเคยจำพรรษาอยู่กับข้าพเจ้าหลายพรรษา  แต่ต่อมาท่านได้ไปตั้งสำนักที่ภูลังกา  และได้ไปมรณภาพที่นั่นเมื่อปี  2521  ที่ผ่านมานั้น  ท่านได้วิเวกไปที่ภูสิงห์น้อย  ชอบใจอากาศและภูมิประเทศอันสงบร่มเย็น  ไม่พลุกพล่านที่นั้น  ก็กะว่าจะอยู่จำพรรษาที่ภูสิงห์น้อย  ท่านได้อยู่ไปจนถึงเวลาจวนจะเข้าพรรษาปี  2508  ก็เกิดเรื่องขึ้น  โดยมีข่าวเล่าลือหนาหูว่า  ที่ภูสิงห์ใหญ่นั้น  มีพวกก่อการร้ายส้องสุมกันอยู่ที่นั่น  เนื่องจากว่า  ภูสิงห์น้อย  และภูสิงห์ใหญ่นั้นติดต่อเป็นทิวเขาต่อเนื่องกันฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเขาก็เลยกลัวว่า  พระจะเป็นอันตรายจึงนิมนต์ให้พระลงมาจากภูสิงห์น้อยให้ไปจำพรรษาที่อื่น  

       ท่านพระอาจารย์เพ็งก็เลยจำเป็นต้องลงไปจำพรรษาร่วมอยู่กับข้าพเจ้าที่ถ้ำบูชาภูวัว  เมื่อพระอาจารย์เพ็งลงไปได้ไม่กี่วัน  ประมาณ  4 – 5 วัน  เท่านั้น  พวกเจ้าหน้าที่บ้านเมือง  ก็ขึ้นไปสำรวจที่สำนักสงฆ์ข้างบนเขา  เนื่องจากได้มีสงฆ์มาจำพรรษาอยู่ที่นั้น  มาได้  2  พรรษาแล้ว  เสนาสนะ  กุฏิพระ  หรือกระท่อมพระ  จึงมั่นคงพอประมาณเจ้าหน้าที่เกรงว่ากุฏิพระเหล่านั้นจะเป็นที่อาศัยของพวกก่อการร้าย  พวกเจ้าหน้าที่และพวกลาดตระเวนของบ้านเมืองก็เลยเอาไฟจุดเผากุฏิพระหมดทุกหลัง  แม้โอ่งน้ำก็ทุบทิ้ง  แม้โอ่งน้ำก็ทุบทิ้งแม้พืชผลผลหมากรากไม้ที่ปลูกไว้ในวัด  เช่น  มะม่วง  ลำไย  มะนาว  มะพร้าว  ตลอดถึง  ต้นกล้วย  ต้นมะละกอที่พวกผ้าขาว  ชาวบ้านช่วยกันปลูกไว้เป็นกลุ่ม  เป็นกอพวกสวนครัว  อย่างพริก  มะเขือ  ตะไคร้  เหล่านี้เขาก็ทำลายหมด  ตัดฟันทิ้งหมดไม่มีเหลือแม้แต่บ่อน้ำที่ขุดไว้  ลอกไว้  เขาก็ถมและทำลายอีกด้วย

        กุฏิพระที่เผาทิ้งนั้น  เผากันหมด  ทำลายกันหมดแบบไม่ให้เหลือซากเลย  แม้เครื่องบริขารของพระที่เก็บเอาไปไม่ทันหมดเพราะต้องรีบร้อนไป  เช่น  พวก  ผ้าไตรและหนังสือสวดมนต์  หนังสือธรรมตลอดถึงพระพุทธรูปก็ถูกไฟเผาหมดในครั้งนั้นด้วยแล้วก็ทราบว่าจากพวกชาวบ้านว่า  พวกทหารปลายบ้านเรานี้เองมาเผา

       เรื่องนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เอาเรื่องอะไร  ปล่อยให้เป็นไปตามหน้าที่ของเขาแล้วก็แล้วกันไป  เพราะบาปก็จะตกแก่ผู้ทำ  กรรมแก่ผู้ก่อขึ้นต่างหาก  เราไม่มีเรื่องอย่าไปก่อความเดือดร้อนและวุ่นวายให้แก่ใคร ๆ

        การมาจำพรรษาที่ถ้ำบูชา  ภูวัวนี้  ดังได้กล่าวแล้วว่า  ข้าพเจ้าออกมาแต่เมื่อออกพรรษาของปี  2506  อยู่วิเวกตามถ้ำตามเงื้อมเขา  และร่มไม้พอดีพอสมควรแล้ว  จึงเริ่มทำเสนาสนะ  ยกแคร่สร้างกระท่อม  กุฏิเป็นที่อาศัย  มีโรงครัว  โรงฉัน   เพิ่มขึ้นเป็นลำดับพระเณรก็มาอยู่จำพรรษาเพิ่มขึ้น  โดยเห็นเป็นที่สงัดเงียบอยู่ในป่าดงพงลึก  เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนากรรมฐาน  ไม่เป็นที่คลุกคลี  พลุกพล่าน  ถึงกาลอันควรพวกศรัทธาญาติโยมก็จะมาฟังเทศน์ รับการอบรม  ส่วนเวลาปกติธรรมดาพระเณรก็มีเวลาเพื่อการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความเพียร  ตามโอกาสวาสนาของตน  มีความสงบสันติกันมาโดยตลอด  แต่มาปี  พ.ศ.  2508  และปี  พ.ศ.  2509  ที่ภูวัวก็ชักจะมีอันตรายเกิดขึ้นเสียแล้ว  คือในปีพรรษา  2509  นี้เอง  เป็นปีที่น้ำท่วมล้นแม่น้ำโขง  ได้มีการทิ้งระเบิดลงมาที่ภูวัว  6  ลูก

       คืนนั้นมีฝนตกหนัก  ฟ้าคะนองและลมแรงมากไม่มีใครได้ยินเสียงลูกระเบิดแต่อย่างใด   ไม่รู้ว่ามีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด  อยู่ต่อมา  3  วันให้หลังโยมขึ้นไปถวายจังหัน  ฤดูนั้นเป็นฤดูที่ฝนกำลังเริ่มชุก  คือ  เป็นเดือนมิถุนายน เดือน  7  เห็ดกำลังชุก  เขาถวายจังหันแล้วก็ออกไปหาเห็ด  เก็บเห็ด  ก็เลยไปเห็นลูกระเบิดเข้า  แล้วมาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ  ข้าพเจ้าและพระเณรเลยไปตรวจดู  พบลูกระเบิดตกอยู่ในห้วย  ไม่ห่างจากถ้ำบูชาและโรงฉันเท่าใดนัก  พบครั้งแรกเป็นลูกระเบิดเพลิง  1  ลูก  ระเบิดแล้ว  ส่วนอีก  3  ลูก  เป็นลูกระเบิดทำลายขนาดใหญ่ยังไม่ระเบิด  ข้าพเจ้าวัดโดยรอบ  ได้เมตรยี่สิบ ( 1.20 เมตร )  วัดตามส่วนยาวได้เมตรยี่สิบ (1.20 เมตร )  เช่นกัน  บางลูกก็จมอยู่ในน้ำ  บางลูกก็อยู่บนบก  จึงให้คนไปแจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้านให้รายงานไปที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเขารายงานไปจนถึงทางทหารที่อุดร  ให้ฝรั่งทหารอเมริกันผู้มาทิ้งระเบิดทราบ  วันหลังก็พบอีก  2  ลูก  เป็นลูกระเบิดทำลาย  ขนาดเดียวกันและยังไม่ระเบิดเหมือนกัน  ทางวัดก็ได้รายงานไปตามลำดับเช่นเดียวกัน

       ผลสุดท้ายทางทหารที่อุดรและฝรั่งทหารอเมริกันก็เดินทางมาสำรวจดู  เขาเอาเฮลิคอปเตอร์มาลงบนลานพลาญหินใหญ่บนหลังถ้ำบูชา  นอนพักกันอยู่  2  คืน  จึงได้จัดการนำเอาลูกระเบิดที่ยังไม่ระเบิดเหล่านั้นขึ้นมาทำลายได้หมดเวลาจะให้ระเบิดทำลาย  เขาต้องให้พระเณรหลบไปในถ้ำนอนราบกับพื้น  ข้าพเจ้าไม่ได้ไต่ถามว่า  เขามาโยน  มาปลดทิ้งระเบิดกันทำไม  แต่ได้ยินพวกข้าราชการพูดกันว่า  ธรรมดาเมื่อเครื่องบินอเมริกันไปทิ้งระเบิดที่เวียดนามเหนือ  ถ้ามีลูกระเบิดเหลือติดเครื่องบินอยู่  ก็จะต้องสลัดทิ้งตามป่าเขาให้หมดมิฉะนั้นจะมีอันตรายเวลานำเครื่องบินลงสู่สนามบินที่ตั้งฐานทัพ  เขาคงจะคิดว่า  ป่าแถวภูวัวเป็นที่ ๆ ไม่มีผู้คนอาศัยก็ได้  จึงได้สลัดลูกระเบิดลง  ส่วนที่ลูกระเบิดทำลายทั้ง  5 ลูก  ไม่แตกระเบิด  เมื่อตกลงมาถึงพื้นดิน  เพราะเหตุใดนั้น  ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน  อาจจะเป็นเพราะอำนาจคุณพระรัตนตรัยคุ้มครองก็ได้

หลังจากนั้น  ก็ได้รับคำเตือนกันเนือง ๆ  ว่าที่ภูวัวไม่เป็นที่ปลอดภัย  ควรจะอพยพโยกย้ายหนีไปจำพรรษาที่อื่น  แต่พระเณรก็ยังคงปฏิบัติสมณธรรมไปตามสมณเพศวิสัย  เร่งความเพียรกันตามสติปัญญาความสามารถของแต่ละคน  จนกระทั่งถึงปลายปี  2511  ข้าพเจ้าก็ได้รับหนังสือจากเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย  ว่าให้พระที่อยู่ถ้ำบูชา  ภูวัว  โยกย้ายหนีจากภูวัว  เพราะเวลานี้บ้านเมืองเกิดความฉุกเฉิน  กลัวจะเป็นอันตรายแก่พระเจ้า  พระสงฆ์  ฉะนั้นจึงขอนิมนต์ให้พวกท่านหนีจากถ้ำบูชา  อย่าอยู่  ให้ลงไปจำพรรษาที่แห่งอื่นแล้วก็ลงนาม  เจ้าคณะ  จังหวัดหนองคาย  สมัยนั้นเป็นท่านเจ้าคุณเทพบัณฑิต

         ข้าพเจ้าพร้อมหมู่คณะและแม่ชี  ก็เลยลงจากถ้ำบูชาในเดือนกรกฎาคม  เป็นเวลาต้นเดือน  ใกล้จะเข้าพรรษาฝนกำลังเริ่มตกชุก  น้ำท่วม  ทางไม่สะดวก  ต้องพากันเดินบุกน้ำ  บุกโคลน  บุกตามลงมาจากเขาลูกนี้  ด้วยความยากลำบาก  มุ่งหน้าไปจำพรรษากับหลวงปู่ขาวที่ถ้ำกลองเพล

ระหว่างอยู่ที่ถ้ำบูชานี้  มีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่งที่เกือบลืมเล่าไป  คือวันธรรมสวนะ  ได้มีการสวดปาฏิโมกข์กันบนพลาญหินในตอนกลางคืนกระต่ายป่าที่อยู่ในบริเวณนั้น  ก็เต้นเข้ามาฟังด้วย  แต่แรกมันก็อยู่ห่างหน่อย แต่แล้วก็ค่อยเขยิบเข้ามาจนใกล้  แล้วก็นั่งนิ่งอยู่  อีกตัวหนึ่งก็เต้นตามเข้ามานั่งด้วยเช่นเดียวกัน  ทั้งสองตัวต่างหลับตาพริ้มอยู่โดยสงบมันนั่งฟังปาฎิโมกข์จนจบแล้ว  จึงกระโดดหายเข้าไปในป่าน่าอัศจรรย์ในความช่าง “ รู้ “ ของสัตว์ป่าเหล่านี้ยิ่งนัก

ถ้ำพระ ภูวัว

ก้อนหินที่ท่านพระอาจารย์ฝั้นเรียกงบน้ำอ้อย

พระพุทธรูปที่ท่านพระอาจารย์ฝั้นสร้าง ถ้ำพระ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น