วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

25.พรรษาที่ 26 พ.ศ.2511 จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย - ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ



พรรษาที่  26  พ.ศ.  2511
จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ขาว  อนาลโย
ที่วัดถ้ำกลองเพล  อุดรธานี

พรรษาที่  26  นี้  ข้าพเจ้าได้กลับมาอยู่จำพรรษาร่วมกับหลวงปู่ขาว  อีกวาระหนึ่ง  ตอนนี้ท่านได้จากวัดป่าแก้ว  บ้านชุมพล  มาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพลแล้วได้อยู่ปฏิบัติท่าน  ฟังธรรมเทศนา  รับการอบรมจากท่านโดยใกล้ชิด  ในระหว่างกลางพรรษาได้มีการทำบุญฉลองอายุของหลวงปู่

       ออกพรรษา  เสร็จกิจการงานทางถ้ำกลองเพลแล้ว  ข้าพเจ้าก็นมัสการลาหลวงปู่  กลับไปวิเวกที่ภูวัวอีก  ด้วยได้ทราบว่า  อันตรายจากผู้ก่อการร้ายเบาบางลงแล้ว

       ข้าพเจ้าได้วิเวกอยู่ที่ภูวัวอยู่ที่ภูวัว  1  เดือน  คืนวันหนึ่งขณะกำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญความเพียรอยู่นั้น  ได้เกิดนิมิตขึ้นมาว่า

       ได้มีปราสาท  2  หลัง  หลังหนึ่งเล็ก  อีกหลังหนึ่งใหญ่โตมาก  ปราสาททั้งสองหลังนี้สวยงามวิจิตรพิสดารมาก  สถานที่ตั้งอยู่คือ  ทางด้านเขาภูทอกน้อยและเขาภูทอกใหญ่  ซึ่งเวลามองจากเขาภูวัว  บริเวณหลังถ้ำบูชาจะเห็นปรากฏชัดอยู่ทุกวัน  ในนิมิตนั้นปรากฏว่า  ข้าพเจ้าได้เหาะขึ้นไปบนปราสาทนั้น  แต่พอขึ้นไป ๆ จะเข้าไปในปราสาทนั้น  บังเอิญประตูทางเข้าปิดอยู่  ทำให้ไม่สามารถจะเข้าไปในปราสาทได้  จึงได้ตั้งอธิษฐานว่า  หากบุญบารมีแรงกล้าขอให้ประตูเปิดออกเข้าไปได้  ทันใดนั้นประตูปราสาทหลังเล็กก็เปิดออก  ข้าพเจ้าจึงเข้าไปในปราสาทนั้นปรากฏว่าห้องหอภายในวิจิตรพิสดารงดงามยิ่งนัก  เป็นที่น่าเพลิดเพลินเจริญใจเป็นอย่างยิ่ง  เห็นหญิงมีรูปสวย  4  คนเฝ้าอยู่ในปราสาทนั้น  และจากที่ยืนอยู่ในปราสาทหลังเล็กจะมองไปเห็นปราสาทหลังใหญ่ได้อย่างเด่นชัด  หญิง  4  คนนั้น  ได้นิมนต์ข้าพเจ้าให้อยู่ร่วมด้วย  ข้าพเจ้าไม่ตกลง  เพราะเป็นพระจะอยู่รวมผู้หญิงไม่ได้  ข้าพเจ้าจึงได้ลงจากปราสาทนั้นไป

       พอจิตถอนออกแล้ว  นิมิตนั้นยังจำติดตาได้อย่างเด่นชัดพร้อมทั้งจำทางขึ้นลงได้อย่างแม่นยำ

       เพื่อพิสูจน์ตามนิมิตนั้น  ข้าพเจ้าเดินทางออกจากภูวัวไปยังภูทอกน้อย  ซึ่งยังไม่เคยได้ขึ้นเขาลูกนี้เลยสักครั้งเดียว  พอไปถึงก็ได้เดินทางขึ้นไปบนเขาตามทางในนิมิตนั้นทุกประการ  ได้สำรวจดูเขาชั้นต่าง ๆ ที่เห็นเป็นโตรก เป็นซอก  เป็นถ้ำ  เป็นหินผา  อันสูงชัน  ก็เห็นว่าเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสมที่จะบูรณะให้เป็นสถานที่รมณียสถานอันรื่นรมย์  ให้พระเณรได้บำเพ็ญพรตภาวนาต่อไปได้  จึงตกลงใจเข้าบูรณะและตั้งเป็นวัด  ได้แรงนิมนต์ของชาวบ้านนาคำแคน  บ้านนาต้อง  อาราธนาให้อยู่โปรดเป็นหลักยึดเหนี่ยวแก่พวกเขาอีกแรงหนึ่งด้วย

ข้าพเจ้าเริ่มมาอยู่ที่ภูทอกนี้  ตั้งแต่เดือนมกราคม  พ.ศ.  2512  มาอยู่ครั้งแรกมากับท่านพระครูศิริธรรมวัฒน์  เจ้าอาวาสวัดสามัคคีอุปถัมภ์  อำเภอบึงกาฬ  ในปัจจุบัน  กับผ้าขาวน้อยคนหนึ่งมาอยู่ตอนแรกอาศัยถ้ำตีนเขา  ที่เป็นโรงฉันต่อโรงครัวสมัยนี้  บริเวณโดยรอบเป็นป่าทึบ  รกชัฏ  มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์  มีช้าง มีเสือ  มีหมี  มีงูใหญ่เลื้อยไปมาอยู่ตามถ้ำ  อากาศทึบมาก

เบื้องต้น ภูทอกยังไม่มีแอ่งเก็บน้ำเช่นที่เห็นในปัจจุบันนี้  สมัยนั้นต้องอดน้ำอาศัยน้ำฝนที่ยังคงขังค้างอยู่ตามอ่างหิน  เมื่อหมดน้ำในอ่างหิน  ก็ต้องพากันสะพายกระบอกไม้ไผ่ไปเอาน้ำในทุ่งนา   ไกลประมาณ  2-3  กิโลเมตรทุกวัน ๆ ส่วนอาหารขบฉัน  อาศัยบิณฑบาตรจากชาวบ้านนาคำแคนซึ่งอพยพไปอยู่ใหม่ ๆ ประมาณสัก  10  หลังคาเรือนการขบฉันอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า  ขาดแคลนมากตามมีตามได้  พอรักษาอัตตภาพชีวิตไปชั่ววันหนึ่ง ๆ เท่านั้น   พอย่างเข้าหน้าแล้ง  ข้าพเจ้าก็ขอให้ญาติโยมช่วยถากถางบริเวณนั้น  ที่รกชัฏทึบ  ให้เตียนพอที่จะให้มีอากาศเข้าไปได้บ้าง  และให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างทำนบกั้นน้ำ  เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้  ต่อไปเห็นว่าการอยู่ถ้ำจะไม่ปลอดภัย  เพราะอากาศมันทึบเวลาฝนตกเลยขึ้นมาปลูกกระต๊อบอยู่ชั่วคราวที่โขดหินตีนเขาชั้น  2  เป็นไม้ทุบเปลือก  พื้นปูด้วยฟาก  หลังคามุงแฝก  เวลาปีนขึ้นภูทอก  ขึ้นตามรากไม้  ตามเถาวัลย์ทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น