วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

19.พรรษาที่ 14 พ.ศ.2499 จำพรรษาที่ถ้ำแก้ว - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

พรรษาที่  14  พ.ศ.  2499
จำพรรษาที่  ถ้ำแก้ว  ตาดปอ  บ้านทุ่งทรายจก  ภูวัว

        ภูวัวเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน  แผ่ยาวในทิศที่ขนานไปกับแม่น้ำโขงยาวนับเป็นสิบ ๆ กิโลเมตรติดต่อกันเป็นอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่  หลายสิบตารางกิโลเมตร   บนหลังเขาหลายตอนเป็นพื้นที่ราบมีบริเวณกว้าง  มีโขดเขาและพลาญหินกว้างใหญ่ไพศาล มีน้ำตกและแอ่งน้ำอย่างงดงาม  ตอนที่เป็นป่าดงดิบ  ก็เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์  เช่น  เสือ  ช้าง  กวาง  เก้ง  วัวกระทิง  ลิง  หมี  เป็นที่ซึ่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่ก่อนเคยไปวิเวกบำเพ็ญความเพียรกันมามากแล้ว  เช่น  พระอาจารย์เสาร์  กันตสีโล  พระอาจารย์อ่อน  ญาณศิริ  พระอาจารย์ฝั้น  อาจาโร    พระอาจารย์วัง  ฐิติสาโร  ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ( ทองสุข  สุจิตโต ) เป็นอาทิ  ต่างล้วนแต่เคยขึ้นไปธุดงค์บำเพ็ญภาวนาบนภูวัวกันมาแล้วทั้งสิ้น

        ในพรรษาที่  14  นี้  ข้าพเจ้าได้จัดสร้างเสนาสนะถวายหลวงปู่ที่บนหลังถ้ำแก้วตาดบ่อ  เขตบ้านทุ่งทรายจก  ด้วยเห็นเป็นที่สงบสงัดและมีพลาญหินอันกว้างใหญ่  ด้านใต้ของถ้ำมีลำห้วยซึ่งมีน้ำตลอดปีเฉพาะบนหลังถ้ำมีแอ่งน้ำซับเล็ก ๆ ซึ่งแม้จะเล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงเมตรเดียว  แต่ก็มีน้ำซับไหลรินมาตลอดไม่เคยอด  ไม่เคยหมดพระเณรอยู่จำพรรษารวมกันถึง  14  องค์  แต่ก็สามารถอาศัยใช้น้ำจากแอ่งน้ำซับเล็กนั้นได้ตลอดเวลา

สมัยนั้นภูวัวยังบริบูรณ์ด้วยสัตว์ป่านานาชนิด  ดังนั้นจำพวกช้าง  หมี  เสือ  จึงเดินกรายเข้ามาในเขตวัดบ่อย ๆ พวกงูจงอาง และงูอื่น ๆ ก็มีมากเช่นกัน  วันหนึ่งหลวงปู่ขาวไปภาวนาที่ถ้ำยาว  บนหลังถ้ำฝุ่นลืมตาเห็นงูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยออกมา  ชูคอแผ่พังพาน  ตั้งท่าจะฉก  จะกัดท่าน  หลวงปู่ก็ภาวนาเฉยอยู่และแผ่เมตตาให้มัน  ท่านเล่าว่างูนั้นแลบลิ้นแผล่บ ๆ ตั้งท่าฉกซ้ำ ๆ อยู่สุดท้ายก็กลับนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์อาการที่ชูคอแผ่พังพานของมันก็ค่อยลดต่ำลง  และสุดท้ายมันก็ลดหัวต่ำลงจนจรดพื้นนิ่งเหมือนยอมคารวะอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเลื้อยหนีเข้าโพรงถ้ำหายไป  หลวงปู่เล่าว่างูตัวนี้เป็นนาค  ไม่ถูกจริตนิสัยกับท่านจึงมาหลอกล้อตั้งท่าจะกัด  แต่ท้ายที่สุดก็ยอมอ่อนให้กับอำนาจการแผ่เมตตาของท่าน


เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ในปัจจุบัน


       บนตาดปอ  นอกจากจะอุดมด้วยสัตว์ป่าแล้ว  ยังมีพวกภูตผีปีศาจมารบกวนพระเณรด้วย  พระเณรจะนอนก็มาปลุกบ้าง  ดึงแขน  ดึงขาบ้าง  ให้ตื่นทำความเพียรมีพระเณรเจ็บป่วยกันมาก  ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผิดอากาศเป็นได้  ทางช้าง  เสือ  สัตว์ป่าก็มาก  เมื่อเป็นเช่นนี้ หลวงปู่ขาวจึงให้ข้าพเจ้านำเรื่องนี้ไปพิจารณาดู

       ข้าพเจ้าพิจารณาแล้วได้ความว่า  “ เยสนฺตา “ แปลว่า  ผู้สงบไม่เดือดร้อน  ไม่มีความทุกข์ใด ๆ ภัยอันตรายไม่มีแก่ผู้มีความสงบ  

       วันต่อมาเมื่อข้าพเจ้าเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ท่านจึงถามว่า  ได้ความไหม  จึงกราบเรียนท่านว่าได้ความ  ท่านว่า  ได้ความอย่างไร  ก็เรียนท่านว่า  “ เยสนฺตา  แปลว่า  ความเป็นผู้สงบจะไม่มีความเดือนร้อน  ความทุกข์ใด ๆ ความเดือดร้อน  ความทุกข์ภัยใด ๆ   จะไม่มีแก่ผู้สงบ

       ท่านจึงว่า “ จริง....จริง  ถูกทีเดียว “ และท่านได้กล่าวบาลีต่อไปอีกว่า  “ นัตฺถิ  สนฺติ  ปรํสุขํ  - ความสุขใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี  ผู้มีความสงบแล้ว  ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนอะไร  ความทุกข์ความเดือดร้อนไม่มีแก่ผู้สงบ  จึงว่าสุขอื่นยิ่งกว่าสงบไม่มี...จริงทีเดียว

       ในพรรษาที่  14  นี้  มีแม่ชีซึ่งเป็นลูกหลานหลวงปู่ขาวมาจำพรรษาอยู่ด้วย  ได้เป็นกำลังช่วยในการประกอบอาหารถวายพระเณรมาก  เพราะตาดปออยู่ไกลหมู่บ้านมาก  อาหารที่บิณฑบาตรได้ไม่ค่อยพอขบฉัน  ต้องอาศัยศัทธาญาติโยมมาส่งเสบียงให้แม่ชีช่วยทำอาหารถวายจังหันเพิ่มเติม

       พรรษานี้  มีแม่ชีคนหนึ่ง  ชื่อ  ชีหลอดได้มาตายที่ภูวัว

       ขณะจำพรรษา  กลางคืนก็พากันไปกางกลดหาที่วิเวกภาวนาตามพลาญหิน  ที่หลังตาดปอนั้นเป็นที่เวิ้งว้าง  อากาศสงัด  สงบดีมาก  มีที่วิเวกดีมาก  กลางคืนเดือนหงายก็แยกย้ายกันไปหาที่วิเวกตามชายป่าบ้าง  ตามหน้าผาบ้าง  หลังพลาญหินบ้าง  ต่อรุ่งสว่างจึงพากันกลับมาวัดแล้วไปบิณฑบาตหลวงปู่ท่านเป็นผู้นำหมู่คณะลูกศิษย์ไปบิณฑบาตรเป็นประจำมิได้ขาด

       ระหว่างอยู่ที่ถ้ำแก้วนี้  ข้าพเจ้าเกิดป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่งเรียกว่า โรคฝีหัวดำ  เป็นฝีที่ร้ายแรงมากเป็นที่นิ้วหัวแม่มือ มันปวดจับใจ  และตามตัวก็รู้สึกร้อนเหมือนจับไข้เพราะพิษฝีด้วย  กลางคืนนั่งพิงหมอนภาวนาอยู่  มือนี่วางไม่ได้  ต้องยกไว้ตลอดเพราะมันปวด  ไม่ได้นอนมาสามวันสามคืนแล้วเพราะนอนไม่หลับ  ปวดฝีตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลา  พอนั่งภาวนาจิตกำลังจะนอน  แต่ไม่หลับสนิท  ได้เกิดนิมิตว่า  มีโยมแก่คนหนึ่งขึ้นไปหา  แล้วถามว่า “ โอ๊ะ ......อาจารย์เป็นอะไรนี่ “ บอกเขาว่า “ อาตมาเป็นฝีหัวดำ “

       เขาก็ว่า “ ขอเบิ่งหน่อย “ แล้วเขาก็มาดูที่นิ้วหัวแม่มือของข้าพเจ้า  บอกว่า “ แม่นแล้ว  มา – จะเป่าให้ “

       แกว่า  แล้วก็เป่าลงที่นิ้วหัวแม่มือ  แหม.....เย็นวาบเลย  แล้วแกก็บอก “ พรุ่งนี้จะเอายามาใส่ให้  ใส่เสียก็หาย “ แกว่าอย่างนั้น

       พอตื่นเช้า พระไปบิณฑบาตรกัน  มีโยมคนหนึ่งนัยว่าเป็นหมอผีประจำบ้านแถวนั้น  ขึ้นมาถวายจังหันพระ  มาหาข้าพเจ้า  แล้วมาดูฝีที่หัวแม่มือข้าพเจ้าเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ  แล้วแกก็เข้าป่าไปหายามาให้ไปได้ยามาฝนใส่ให้  เป็นยาแก้ฝีมีพิษ  หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็หาย  ถามแกว่า ยาแก้ฝีมีพิษนั้นคืออะไร  แกว่า  คือรากลำดวน  รากลำดวนต้นก็ได้  รากลำดวนเครือก็ได้

       ข้าพเจ้าจำได้สนิทใจ  รากลำดวน  ที่แก้ฝีที่ปวดบาดจิตบาดใจให้หายได้นั้นมีรากเดียวเท่านั้น  ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า  ยานี้  คนอื่นใช้จะหายไหมแต่ก็น่าจะลองดูน่าคิดว่ายาสนุนไพรของเรานั้นมีทุกหย่อมหญ้า  แต่เราคนไทยมักจะมองข้ามของดีในชาติของเราไปเสียหมด

       ในระหว่างที่จำพรรษา  รับการอบรมจากหลวงปู่ขาวที่ภูวัวนี้  ข้าพเจ้าได้มีนิมิตที่ควรบันทึกไว้  เพื่อให้ประวัติสมบูรณ์  2  คราว  คือ

       คราวแรกเมื่อมาอยู่ถ้ำแก้วใหม่ ๆ ได้เกิดนิมิตว่า  มีแม่ชี  3 องค์  มาปรากฏกายขึ้น  เมื่อกำหนดจิตถามว่าเป็นอะไรก็ได้รับคำตอบว่า  เป็นพรหม  แม่ชีทั้งสามบอกให้ข้าพเจ้าทราบถึงชาติกำเนิดที่ข้าพเจ้าเกี่ยวพันกับท่านพระอาจารย์มั่นในชาติก่อน  และเสริมว่า “ ท่านอาจารย์องค์นี้  เวลาท่านไปหาท่านอาจารย์มั่นท่านเหาะไป   ท่านอาจารย์มั่นแหงนหน้าดูแล้วพาเหาะด้วยกัน “ ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่า  ทำไมชีที่ถ้ำแก้วจึงได้ทราบนิมิตครั้งโน้นของข้าพเจ้าที่เกิดขึ้นก่อนไปพบท่านพระอาจารย์มั่น

       แล้วชีก็พูดกันอีกว่า   “ ท่านอาจารย์องค์นี้น่ารักเหมือนอาจารย์ของเราคือ  ท่านอาจารย์สุ่ย “   คงเป็นอาจารย์ของแม่ชีมาแต่ก่อน  “ น่ารักจริง ๆ พวกเราต้องปรนนิบัติท่าน  อารักขาท่าน  ท่านมาแล้ว “  

       อีกครั้งหนึ่ง  ระหว่างภาวนา  จิตถอนก็เห็นเป็นนิมิตปรากฏขึ้นว่า  ข้าพเจ้ากำลังเดินทางอยู่ในที่แห่งหนึ่งพอพ้นจากหมู่บ้าน  ก็เห็นแม่น้ำกว้างสายหนึ่งขวางหน้าอยู่น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวมาก  เปี่ยมฝั่ง  คะเนดูคงเป็นแม่น้ำที่ลึกมาก  ข้าพเจ้าตั้งใจคิดจะข้ามแม่น้ำให้ไปถึงฝั่งข้างโน้น  แต่ก็ยังไม่เห็นวิธีที่จะข้ามอย่างไร

       ฝั่งแม่น้ำนั้นลาดเหมือนฝั่งทะเลค่อย ๆ เทลงและชันเข้า  ที่ฝั่งเป็นโคลนตมเละ  ข้าพเจ้ามองดูโคลนตมนั้น  แล้วก็คิดว่า   ถ้าเราลงไปที่นั่น  ก็คงจะจมลงมิดตัวเลย  ต้องตกลงมิดศีรษะเลย  บริเวณฝั่งระยะที่เป็นโคลนตมนั้น  ไม่ใช่ใกล้กว่าจะไปถึงน้ำที่ไหลเชี่ยว  ข้าพเจ้ามองไปอีกที  เห็นรอยเท้าคนที่เพิ่งเดินข้ามไปได้ใหม่ ๆ ก็มี  จึงคิดว่า  เอ.....เราจะทำอย่างไรดี  จึงจะข้ามแม่น้ำได้โคลนตมนี่มันเหลว  ถ้าเราเดินข้ามโคลนตมก็คงจะจมลงไปเลย  จะจมดิ่งลงไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ  คงไม่มีวันจะโผล่ขึ้นมาได้เลย

       รำพึงแล้วก็เลยหยุดพิจารณาและนึกอธิษฐานขึ้น  อธิษฐานทั้ง ๆ ยืนเช่นนั้น “ เออ...นี่ถ้าเราจะข้ามน้ำไปถึงฝั่งโน้นได้  ก็ขอให้เราเดินข้ามโคลนตมน้ำไปให้ได้อย่าให้จมลงเลยอย่างลึกมากที่สุดก็ให้จมลงในโคลนตมนี้ถึงเพียงแค่เข่าเท่านั้น  ถ้าเราจะข้ามแม่น้ำนี้ให้ได้ “

       อธิษฐานแล้ว  ข้าพเจ้าก็เริ่มหยั่งเท้าค่อย ๆ เดินไปปรากฏว่าโคลนค่อย ๆ ลึกเข้าทีละน้อย  พอถึงเพียงแค่เข่าพอดีก็พ้นจากโคลนตมและมีสะพานข้ามน้ำถึงฝั่งโน้น  ข้าพเจ้าจึงขึ้นเดินบนสะพาน ได้ข้ามถึงฝั่งโน้น

       พอขึ้นฝั่งได้แล้ว  ก็เห็นม้ากินหญ้าอยู่บนริมฝั่งตัวหนึ่ง  สีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว  รูปร่างพ่วงพี  ตัวสูงใหญ่สวยมากม้านั้นสวยมากจริง ๆ ท่าทางน่าขี่ข้าพเจ้าคิดว่าจะขึ้นขี่ม้าพอดีมีคนมาบอกว่า  พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จไป  ให้รีบตามข้าพเจ้าได้ยินพระนามพระพุทธเจ้าก็เลยไม่สนใจกับม้ารีบออกเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้าไปทันที..แล้ว..จิตก็ถอนจากนิมิต

       เมื่อปวารณาออกพรรษาแล้ว  ต่างก็เตรียมแยกย้ายจากกัน  พวกญาติโยมลูกหลานได้มานิมนต์หลวงปู่ขาวให้กลับสำนักเดิมคือวัดป่าแก้ว  บ้านชุมพลส่วนข้าพเจ้าได้รับนิมนต์จากญาติโยมทางนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว  ให้ไปช่วยงานฌาปนกิจศพท่านพระอาจารย์อ่อนศรี  ข้าพเจ้าจึงเดินทางไปโดยลงจากภูวัวไปตามฝั่งแม่น้ำโขง  ผ่านบึงกาฬ  โพนพิสัยและไปข้ามแม่น้ำโขงที่ท่าเดื่อ  จังหวัดหนองคาย

       เมื่อเสร็จงานศพท่านพระอาจารย์อ่อนศรีแล้ว  ก็พากันเดินวิเวกขึ้นไปบนยอดภูเขาควายของประเทศลาวพักอยู่พอประมาณแล้วก็เดินทางกลับมาประเทศไทยมาพักวิเวกบำเพ็ญภาวนาต่อที่ภูวัว  พักอยู่จนใกล้จะเข้าพรรษา  จึงกลับไปจำพรรษาที่ดงหม้อทองเช่นเดิม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น