วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

19.พรรษาที่ 14 พ.ศ.2499 จำพรรษาที่ถ้ำแก้ว - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

พรรษาที่  14  พ.ศ.  2499
จำพรรษาที่  ถ้ำแก้ว  ตาดปอ  บ้านทุ่งทรายจก  ภูวัว

        ภูวัวเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน  แผ่ยาวในทิศที่ขนานไปกับแม่น้ำโขงยาวนับเป็นสิบ ๆ กิโลเมตรติดต่อกันเป็นอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่  หลายสิบตารางกิโลเมตร   บนหลังเขาหลายตอนเป็นพื้นที่ราบมีบริเวณกว้าง  มีโขดเขาและพลาญหินกว้างใหญ่ไพศาล มีน้ำตกและแอ่งน้ำอย่างงดงาม  ตอนที่เป็นป่าดงดิบ  ก็เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์  เช่น  เสือ  ช้าง  กวาง  เก้ง  วัวกระทิง  ลิง  หมี  เป็นที่ซึ่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่ก่อนเคยไปวิเวกบำเพ็ญความเพียรกันมามากแล้ว  เช่น  พระอาจารย์เสาร์  กันตสีโล  พระอาจารย์อ่อน  ญาณศิริ  พระอาจารย์ฝั้น  อาจาโร    พระอาจารย์วัง  ฐิติสาโร  ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ( ทองสุข  สุจิตโต ) เป็นอาทิ  ต่างล้วนแต่เคยขึ้นไปธุดงค์บำเพ็ญภาวนาบนภูวัวกันมาแล้วทั้งสิ้น

        ในพรรษาที่  14  นี้  ข้าพเจ้าได้จัดสร้างเสนาสนะถวายหลวงปู่ที่บนหลังถ้ำแก้วตาดบ่อ  เขตบ้านทุ่งทรายจก  ด้วยเห็นเป็นที่สงบสงัดและมีพลาญหินอันกว้างใหญ่  ด้านใต้ของถ้ำมีลำห้วยซึ่งมีน้ำตลอดปีเฉพาะบนหลังถ้ำมีแอ่งน้ำซับเล็ก ๆ ซึ่งแม้จะเล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงเมตรเดียว  แต่ก็มีน้ำซับไหลรินมาตลอดไม่เคยอด  ไม่เคยหมดพระเณรอยู่จำพรรษารวมกันถึง  14  องค์  แต่ก็สามารถอาศัยใช้น้ำจากแอ่งน้ำซับเล็กนั้นได้ตลอดเวลา

สมัยนั้นภูวัวยังบริบูรณ์ด้วยสัตว์ป่านานาชนิด  ดังนั้นจำพวกช้าง  หมี  เสือ  จึงเดินกรายเข้ามาในเขตวัดบ่อย ๆ พวกงูจงอาง และงูอื่น ๆ ก็มีมากเช่นกัน  วันหนึ่งหลวงปู่ขาวไปภาวนาที่ถ้ำยาว  บนหลังถ้ำฝุ่นลืมตาเห็นงูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยออกมา  ชูคอแผ่พังพาน  ตั้งท่าจะฉก  จะกัดท่าน  หลวงปู่ก็ภาวนาเฉยอยู่และแผ่เมตตาให้มัน  ท่านเล่าว่างูนั้นแลบลิ้นแผล่บ ๆ ตั้งท่าฉกซ้ำ ๆ อยู่สุดท้ายก็กลับนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์อาการที่ชูคอแผ่พังพานของมันก็ค่อยลดต่ำลง  และสุดท้ายมันก็ลดหัวต่ำลงจนจรดพื้นนิ่งเหมือนยอมคารวะอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเลื้อยหนีเข้าโพรงถ้ำหายไป  หลวงปู่เล่าว่างูตัวนี้เป็นนาค  ไม่ถูกจริตนิสัยกับท่านจึงมาหลอกล้อตั้งท่าจะกัด  แต่ท้ายที่สุดก็ยอมอ่อนให้กับอำนาจการแผ่เมตตาของท่าน


เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ในปัจจุบัน


       บนตาดปอ  นอกจากจะอุดมด้วยสัตว์ป่าแล้ว  ยังมีพวกภูตผีปีศาจมารบกวนพระเณรด้วย  พระเณรจะนอนก็มาปลุกบ้าง  ดึงแขน  ดึงขาบ้าง  ให้ตื่นทำความเพียรมีพระเณรเจ็บป่วยกันมาก  ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผิดอากาศเป็นได้  ทางช้าง  เสือ  สัตว์ป่าก็มาก  เมื่อเป็นเช่นนี้ หลวงปู่ขาวจึงให้ข้าพเจ้านำเรื่องนี้ไปพิจารณาดู

       ข้าพเจ้าพิจารณาแล้วได้ความว่า  “ เยสนฺตา “ แปลว่า  ผู้สงบไม่เดือดร้อน  ไม่มีความทุกข์ใด ๆ ภัยอันตรายไม่มีแก่ผู้มีความสงบ  

       วันต่อมาเมื่อข้าพเจ้าเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ท่านจึงถามว่า  ได้ความไหม  จึงกราบเรียนท่านว่าได้ความ  ท่านว่า  ได้ความอย่างไร  ก็เรียนท่านว่า  “ เยสนฺตา  แปลว่า  ความเป็นผู้สงบจะไม่มีความเดือนร้อน  ความทุกข์ใด ๆ ความเดือดร้อน  ความทุกข์ภัยใด ๆ   จะไม่มีแก่ผู้สงบ

       ท่านจึงว่า “ จริง....จริง  ถูกทีเดียว “ และท่านได้กล่าวบาลีต่อไปอีกว่า  “ นัตฺถิ  สนฺติ  ปรํสุขํ  - ความสุขใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี  ผู้มีความสงบแล้ว  ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนอะไร  ความทุกข์ความเดือดร้อนไม่มีแก่ผู้สงบ  จึงว่าสุขอื่นยิ่งกว่าสงบไม่มี...จริงทีเดียว

       ในพรรษาที่  14  นี้  มีแม่ชีซึ่งเป็นลูกหลานหลวงปู่ขาวมาจำพรรษาอยู่ด้วย  ได้เป็นกำลังช่วยในการประกอบอาหารถวายพระเณรมาก  เพราะตาดปออยู่ไกลหมู่บ้านมาก  อาหารที่บิณฑบาตรได้ไม่ค่อยพอขบฉัน  ต้องอาศัยศัทธาญาติโยมมาส่งเสบียงให้แม่ชีช่วยทำอาหารถวายจังหันเพิ่มเติม

       พรรษานี้  มีแม่ชีคนหนึ่ง  ชื่อ  ชีหลอดได้มาตายที่ภูวัว

       ขณะจำพรรษา  กลางคืนก็พากันไปกางกลดหาที่วิเวกภาวนาตามพลาญหิน  ที่หลังตาดปอนั้นเป็นที่เวิ้งว้าง  อากาศสงัด  สงบดีมาก  มีที่วิเวกดีมาก  กลางคืนเดือนหงายก็แยกย้ายกันไปหาที่วิเวกตามชายป่าบ้าง  ตามหน้าผาบ้าง  หลังพลาญหินบ้าง  ต่อรุ่งสว่างจึงพากันกลับมาวัดแล้วไปบิณฑบาตหลวงปู่ท่านเป็นผู้นำหมู่คณะลูกศิษย์ไปบิณฑบาตรเป็นประจำมิได้ขาด

       ระหว่างอยู่ที่ถ้ำแก้วนี้  ข้าพเจ้าเกิดป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่งเรียกว่า โรคฝีหัวดำ  เป็นฝีที่ร้ายแรงมากเป็นที่นิ้วหัวแม่มือ มันปวดจับใจ  และตามตัวก็รู้สึกร้อนเหมือนจับไข้เพราะพิษฝีด้วย  กลางคืนนั่งพิงหมอนภาวนาอยู่  มือนี่วางไม่ได้  ต้องยกไว้ตลอดเพราะมันปวด  ไม่ได้นอนมาสามวันสามคืนแล้วเพราะนอนไม่หลับ  ปวดฝีตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลา  พอนั่งภาวนาจิตกำลังจะนอน  แต่ไม่หลับสนิท  ได้เกิดนิมิตว่า  มีโยมแก่คนหนึ่งขึ้นไปหา  แล้วถามว่า “ โอ๊ะ ......อาจารย์เป็นอะไรนี่ “ บอกเขาว่า “ อาตมาเป็นฝีหัวดำ “

       เขาก็ว่า “ ขอเบิ่งหน่อย “ แล้วเขาก็มาดูที่นิ้วหัวแม่มือของข้าพเจ้า  บอกว่า “ แม่นแล้ว  มา – จะเป่าให้ “

       แกว่า  แล้วก็เป่าลงที่นิ้วหัวแม่มือ  แหม.....เย็นวาบเลย  แล้วแกก็บอก “ พรุ่งนี้จะเอายามาใส่ให้  ใส่เสียก็หาย “ แกว่าอย่างนั้น

       พอตื่นเช้า พระไปบิณฑบาตรกัน  มีโยมคนหนึ่งนัยว่าเป็นหมอผีประจำบ้านแถวนั้น  ขึ้นมาถวายจังหันพระ  มาหาข้าพเจ้า  แล้วมาดูฝีที่หัวแม่มือข้าพเจ้าเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ  แล้วแกก็เข้าป่าไปหายามาให้ไปได้ยามาฝนใส่ให้  เป็นยาแก้ฝีมีพิษ  หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็หาย  ถามแกว่า ยาแก้ฝีมีพิษนั้นคืออะไร  แกว่า  คือรากลำดวน  รากลำดวนต้นก็ได้  รากลำดวนเครือก็ได้

       ข้าพเจ้าจำได้สนิทใจ  รากลำดวน  ที่แก้ฝีที่ปวดบาดจิตบาดใจให้หายได้นั้นมีรากเดียวเท่านั้น  ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า  ยานี้  คนอื่นใช้จะหายไหมแต่ก็น่าจะลองดูน่าคิดว่ายาสนุนไพรของเรานั้นมีทุกหย่อมหญ้า  แต่เราคนไทยมักจะมองข้ามของดีในชาติของเราไปเสียหมด

       ในระหว่างที่จำพรรษา  รับการอบรมจากหลวงปู่ขาวที่ภูวัวนี้  ข้าพเจ้าได้มีนิมิตที่ควรบันทึกไว้  เพื่อให้ประวัติสมบูรณ์  2  คราว  คือ

       คราวแรกเมื่อมาอยู่ถ้ำแก้วใหม่ ๆ ได้เกิดนิมิตว่า  มีแม่ชี  3 องค์  มาปรากฏกายขึ้น  เมื่อกำหนดจิตถามว่าเป็นอะไรก็ได้รับคำตอบว่า  เป็นพรหม  แม่ชีทั้งสามบอกให้ข้าพเจ้าทราบถึงชาติกำเนิดที่ข้าพเจ้าเกี่ยวพันกับท่านพระอาจารย์มั่นในชาติก่อน  และเสริมว่า “ ท่านอาจารย์องค์นี้  เวลาท่านไปหาท่านอาจารย์มั่นท่านเหาะไป   ท่านอาจารย์มั่นแหงนหน้าดูแล้วพาเหาะด้วยกัน “ ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่า  ทำไมชีที่ถ้ำแก้วจึงได้ทราบนิมิตครั้งโน้นของข้าพเจ้าที่เกิดขึ้นก่อนไปพบท่านพระอาจารย์มั่น

       แล้วชีก็พูดกันอีกว่า   “ ท่านอาจารย์องค์นี้น่ารักเหมือนอาจารย์ของเราคือ  ท่านอาจารย์สุ่ย “   คงเป็นอาจารย์ของแม่ชีมาแต่ก่อน  “ น่ารักจริง ๆ พวกเราต้องปรนนิบัติท่าน  อารักขาท่าน  ท่านมาแล้ว “  

       อีกครั้งหนึ่ง  ระหว่างภาวนา  จิตถอนก็เห็นเป็นนิมิตปรากฏขึ้นว่า  ข้าพเจ้ากำลังเดินทางอยู่ในที่แห่งหนึ่งพอพ้นจากหมู่บ้าน  ก็เห็นแม่น้ำกว้างสายหนึ่งขวางหน้าอยู่น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวมาก  เปี่ยมฝั่ง  คะเนดูคงเป็นแม่น้ำที่ลึกมาก  ข้าพเจ้าตั้งใจคิดจะข้ามแม่น้ำให้ไปถึงฝั่งข้างโน้น  แต่ก็ยังไม่เห็นวิธีที่จะข้ามอย่างไร

       ฝั่งแม่น้ำนั้นลาดเหมือนฝั่งทะเลค่อย ๆ เทลงและชันเข้า  ที่ฝั่งเป็นโคลนตมเละ  ข้าพเจ้ามองดูโคลนตมนั้น  แล้วก็คิดว่า   ถ้าเราลงไปที่นั่น  ก็คงจะจมลงมิดตัวเลย  ต้องตกลงมิดศีรษะเลย  บริเวณฝั่งระยะที่เป็นโคลนตมนั้น  ไม่ใช่ใกล้กว่าจะไปถึงน้ำที่ไหลเชี่ยว  ข้าพเจ้ามองไปอีกที  เห็นรอยเท้าคนที่เพิ่งเดินข้ามไปได้ใหม่ ๆ ก็มี  จึงคิดว่า  เอ.....เราจะทำอย่างไรดี  จึงจะข้ามแม่น้ำได้โคลนตมนี่มันเหลว  ถ้าเราเดินข้ามโคลนตมก็คงจะจมลงไปเลย  จะจมดิ่งลงไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ  คงไม่มีวันจะโผล่ขึ้นมาได้เลย

       รำพึงแล้วก็เลยหยุดพิจารณาและนึกอธิษฐานขึ้น  อธิษฐานทั้ง ๆ ยืนเช่นนั้น “ เออ...นี่ถ้าเราจะข้ามน้ำไปถึงฝั่งโน้นได้  ก็ขอให้เราเดินข้ามโคลนตมน้ำไปให้ได้อย่าให้จมลงเลยอย่างลึกมากที่สุดก็ให้จมลงในโคลนตมนี้ถึงเพียงแค่เข่าเท่านั้น  ถ้าเราจะข้ามแม่น้ำนี้ให้ได้ “

       อธิษฐานแล้ว  ข้าพเจ้าก็เริ่มหยั่งเท้าค่อย ๆ เดินไปปรากฏว่าโคลนค่อย ๆ ลึกเข้าทีละน้อย  พอถึงเพียงแค่เข่าพอดีก็พ้นจากโคลนตมและมีสะพานข้ามน้ำถึงฝั่งโน้น  ข้าพเจ้าจึงขึ้นเดินบนสะพาน ได้ข้ามถึงฝั่งโน้น

       พอขึ้นฝั่งได้แล้ว  ก็เห็นม้ากินหญ้าอยู่บนริมฝั่งตัวหนึ่ง  สีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว  รูปร่างพ่วงพี  ตัวสูงใหญ่สวยมากม้านั้นสวยมากจริง ๆ ท่าทางน่าขี่ข้าพเจ้าคิดว่าจะขึ้นขี่ม้าพอดีมีคนมาบอกว่า  พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จไป  ให้รีบตามข้าพเจ้าได้ยินพระนามพระพุทธเจ้าก็เลยไม่สนใจกับม้ารีบออกเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้าไปทันที..แล้ว..จิตก็ถอนจากนิมิต

       เมื่อปวารณาออกพรรษาแล้ว  ต่างก็เตรียมแยกย้ายจากกัน  พวกญาติโยมลูกหลานได้มานิมนต์หลวงปู่ขาวให้กลับสำนักเดิมคือวัดป่าแก้ว  บ้านชุมพลส่วนข้าพเจ้าได้รับนิมนต์จากญาติโยมทางนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว  ให้ไปช่วยงานฌาปนกิจศพท่านพระอาจารย์อ่อนศรี  ข้าพเจ้าจึงเดินทางไปโดยลงจากภูวัวไปตามฝั่งแม่น้ำโขง  ผ่านบึงกาฬ  โพนพิสัยและไปข้ามแม่น้ำโขงที่ท่าเดื่อ  จังหวัดหนองคาย

       เมื่อเสร็จงานศพท่านพระอาจารย์อ่อนศรีแล้ว  ก็พากันเดินวิเวกขึ้นไปบนยอดภูเขาควายของประเทศลาวพักอยู่พอประมาณแล้วก็เดินทางกลับมาประเทศไทยมาพักวิเวกบำเพ็ญภาวนาต่อที่ภูวัว  พักอยู่จนใกล้จะเข้าพรรษา  จึงกลับไปจำพรรษาที่ดงหม้อทองเช่นเดิม

18.พรรษาที่ 11 – 13 พ.ศ.2496 – 2498 จำพรรษาที่ดงหม้อทอง - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ

พรรษาที่  11 – 13  พ.ศ.  2496 – 2498
จำพรรษาที่ดงหม้อทอง
อำเภอวานรนิวาส

       ตั้งแต่พรรษาที่  11  จนถึงพรรษาที่  13  ข้าพเจ้าจำพรรษาอยู่ที่ดงหม้อทองโดยตลอด  เพราะเป็นที่สงบสงัดดี  สภาพของป่าดงดิบหนาทึบที่เต็มไปด้วยไม้ใหญ่  มีถ้ำ  มีเงื้อมหินเผา  และพลาญหินพร้อมทั้งสัตว์ป่าอันดุร้ายที่จะช่วยกำราบกิเลสให้อ่อนราบลง....เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องช่วยในการภาวนาทั้งนั้นการภาวนาดี  จิตสงบ  รวมเร็ว

       เฉพาะพรรษาที่  11  มีพระ  2  องค์  รวมทั้งข้าพเจ้าและเณร 1 องค์จำพรรษาอยู่ด้วยกัน  โดยที่การคมนาคมลำบาก  เพราะเป็นดงป่าหนาทึบจริง ๆ ข้าพเจ้าจึงชักชวนญาติโยม  ช่วยกันตัดถนน  จากดงหม้อทองมาออกบ้านมาย  บ้านดู่  ใช้เวลา  3  เดือนจึงสำเร็จทำให้รถและเกวียนสามารถเดินได้ตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้

       พอออกพรรษาแล้ว  หลวงปู่ขาว  ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดอรุณรังสีจังหวัดหนองคายแต่งคนให้มาหาข้าพเจ้า  ให้ไปรับท่านออกมาวิเวก  ให้หาสถานที่ที่เหมาะสมก่อนแล้วค่อยไปรับท่านระหว่างนั้นข้าพเจ้ามีเพื่อนพระภิกษุอีกองค์หนึ่ง  แต่ท่านเป็นไข้ระยะแรกดงหม้อทองกันดารมากจะมีพระอยู่มากก็ไม่ได้เพราะมีบ้านบิณฑบาตเพียง  3  หลังคาเรือนเท่านั้นพอดีท่านพระอาจารย์สอน  อุตตรปญฺโญ  ธุดงค์มาถึงข้าพเจ้าจึงชวนให้อยู่เป็นเพื่อน  เพื่อช่วยปรนนิบัติหลวงปู่และช่วยทำเสนาสนะถวายให้หลวงปู่และหมู่พวกที่จะติดตามท่านมา

       ข้าพเจ้าและท่านพระอาจารย์สอนจัดเสนาสนะพร้อมแล้วก็ไปรับหลวงปู่ขาวออกมาวิเวก  ท่านพอใจความสงัดเงียบ  เงื้อมถ้ำและพลาญหินที่ดงหม้อทองมาก  จึงอยู่ต่อไปกระทั่งถึงเวลาเข้าพรรษา

       หลวงปู่  และพระติดตามอีก  7 – 8  องค์  ผ้าขาว  2  คน  และแม่ชีอีก  4 – 5  จึงตกลงอธิษฐานพรรษาอยู่ที่ดงหม้อทองด้วยกันทั้งหมด  อาหารขบฉันก็ได้ชาวบ้านนำมาส่งเป็นเสบียงและอาศัยแม่ชีช่วยทำถวายเป็นหลักมากกว่าการบิณฑบาตเพราะระยะนั้นจำนวนญาติโยมมีน้อยกว่าพระมากนัก

       พรรษาที่  12  พ.ศ.  2497  ซึ่งหลวงปู่ขาวมาจำพรรษาด้วยนี้  ต่างพากันปรารภความพากความเพียรอย่างเต็มความสามารถของตน  ฉันเสร็จ  ต่างองค์ต่างก็แยกกันไปทำความเพียร  ประมาณบ่าย  3  โมง  กวาดตาด ( กวาดลานวัด )  แล้วก็ไปรวมกันสรงน้ำหลวงปู่    เสร็จแล้วต่างสรงน้ำและฉันน้ำร้อนแล้วกลับไปเดินจงกรมต่างองค์ต่างสวดมนต์  ตอนเย็นไปรวมกันที่ศาลาถ้าใครมีปัญหาก็เรียนถามหลวงปู่  บางวันท่านก็เทศน์  บางวันก็ไม่เทศน์  เพียงแต่สนทนาธรรม  แต่สำหรับวันพระนั้นพระเณร ชีมารวมกันฟังธรรมหลวงปู่หมดทุกองค์

       ระหว่างอยู่ดงหม้อทองกับหลวงปู่ขาวนี้  กลางคืนวันหนึ่งได้ลงอุโบสถปรากฏมีพวกเสือเขามากัดกันข้างก้อนหิน  ข้างกุฏิที่พระกำลังลงอุโบสถ  ฟังจากเสียงที่กัดหยอกล้อกันนั้นคงจะมีเสือหลายตัวอยู่  มันกัดกันเล่นกันตั้งแต่พระเริ่มสวดปฏิโมกข์  จนกระทั่งสวดปาฏิโมกข์จบ  มันก็ยังไม่เลิกกันกันร้องหยอกล้อต่อกัน  ต่อเมื่อภายหลังหลวงปู่ท่านคงจะรำคาญจึงตวาดเอ็ดตะโรออกไปมันจึงค่อยสงบลงแต่ก็ครางอู้อี้ต่อไปอีกพักใหญ่

       อีกวันหนึ่ง  ตอนบ่ายเวลาประมาณบ่ายโมง   ข้าพเจ้ากำลังนั่งพักผ่อนอยู่บนกุฏิเห็นช้างป่าโขลงใหญ่พากันยกขบวนเข้ามาหากินในเขตวัด  บ้างก็หักกิ่งไม้ดังสนั่น  บ้างก็ลงกินน้ำในห้วยซึ่งอยู่เบื้องล่างกุฏิของข้าพเจ้า  เนื่องจากข้าพเจ้าและท่านพระอาจารย์สอนได้เลือกชัยภูมิสร้างกุฏิกันเป็นอย่างดี  โดยต่างสร้างกุฏิบนหลังพลาญหินก้อนสูงใหญ่ซึ่งต่างมีขนาดสูงใหญ่ไล่เลี่ยกัน  คือแต่ละก้อนต่างกว้างประมาณกว่าห้าเมตรยาวเกือบยี่สิบเมตรและสูงถึงกว่าสิบห้าเมตรพลาญหินทั้งสองก้อนที่ข้าพเจ้าและท่านพระอาจารย์สอนตั้งกุฏิอยู่  จึงเป็นเหมือนกำแพงแท่งศิลาทึบ  ยาวเหยียดตั้งขนานกันโดยตรงระหว่างกลางมีห้วยหนองน้ำคั่นอยู่  ซึ่งมีสัตว์ป่านานาชนิดชอบลัดเลาะเข้ามาหาอาหารและกินน้ำเป็นประจำเวลานั่งบนกุฏิหรือเดินจงกรมอยู่บนพลาญหิน  จึงสามารถเห็น  เก้ง  กวาง  ช้าง  เสือ  หมูป่า  หรือหมี  เข้ามาเดินท่องไพรอยู่ข้างล่างได้อย่างถนัดตา  สำหรับบ่ายวันนั้นช้างฝูงนั้นคงจะสำราญใจเต็มที่  มันจึงเข้ามาเดินเที่ยวกันอย่างเสรี  เท่าที่เห็นด้วยตา  มันมาอยู่ที่เชิงหินริมห้วยก็สิบกว่าตัวแล้วแต่ที่ยังอยู่ในป่าใกล้ ๆ ก็คงจะมีอีกเป็นจำนวนไม่น้อยเพราะฟังจากเสียงที่มันหักกิ่งไผ่  กิ่งยาง  ทิ้งถอนต้นไม้เล็กก็ดังสนั่นไปทั้งป่า

       อย่างไรก็ดีเสนาสนะในดงหม้อทองนี้  ใช่ว่ากุฏิทุกหลังจะปลอดภัยจากสัตว์ป่าเสมอไปก็หาไม่บางหลังอาจจะอยู่ในชัยภูมิที่ปลอดภัยจากช้าง  แต่ก็อาจจะมีเสือเข้ามาเยี่ยมกรายได้  อย่างเช่น  กุฏิของพระบุญทัน  ท่านกำลังจะออกจากกุฏิมองออกไปเห็นเสือใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามานั่งจงโคร่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้นกุฏิของท่าน  ท่านต้องรออยู่พักใหญ่  จนเสือจากไปแล้วจึงสามารถออกจากกุฏิได้

คืนหนึ่ง  พระเณรฉันอาหารธาตุขันธ์ไม่ถูกกันก็จะต้องรีบเข้าส้วม  ท่านพระอาจารย์สอนไปไม่ทันเณร  ซึ่งวิ่งถลันเข้าไปจับจองก่อน  ธาตุขันธ์ไม่ยอมรอเวลา  ท่านจึงต้องเลี่ยงเข้าป่าไป  ปรากฏมีเสือกระโดดข้ามศีรษะท่านสอนไปเลย  ท่านว่าท่านรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว  เสือมันกระโจนเข้าไปทางส้วมที่เณรกำลังอยู่  พอรู้ว่าเสือ  เณรก็กระโจนแผล็ววิ่งออกมาป่าราบเคราะห์ดีที่เจ้าเสือตัวนั้นมันคงผ่านเข้าป่าไปแล้ว  เณรจึงไม่ต้องประจันหน้ากับมัน

กุฏิของหลวงปู่ขาว  อยู่ห่างจากกุฏิของข้าพเจ้าและของท่านพระอาจารย์สอนเข้าไปในแนวป่าอีกด้านหนึ่ง  ตั้งอยู่บนพลาญหินเช่นเดียวกัน  แต่มิได้เป็นหินก้อนโดด ๆ เหมือนเป็นภูเขาลูกย่อม ๆ เช่นของเราด้านหนึ่งของพลาญหินของหลวงปู่ อยู่ติดกับราวป่าผ้าขาวที่ติดตามท่านมา  ปลูกกระต๊อบอยู่ลึกเข้าไปในป่าทางด้านนั้น  ฉะนั้นวันหนึ่งช้างจึงเดินเล่นเลยขึ้นมาบนพลาญหินและต่อไปถึงกระต๊อบของผ้าขาวผู้นั้นมันเอางวงหยิบรองเท้าออกมาเล่นและโยนเข้าป่าไปถอนบันไดกุฏิออกมาและโยนเข้าป่าไปด้วย  มันเอางวงควานหาของเล่นอยู่พักใหญ่  เห็นหมดเครื่องกีดหน้าขวางตาแล้ว  ก็เตรียมลาจากไปแต่ก็ยังอดนึกสนุกไม่ได้มันเอางวงมาดุน – ดุนฝาจนกุฏิแทบโยก ปกติผ้าขาวเจ้าของกระต๊อบนั้นเป็นคนหูหนัก อาจจะไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ ระหว่างช้างมันยื่นงวงเข้ามาหยิบรองเท้าโยกบันไดแต่เมื่อถึงคราวฝากกระต๊อบของแกโยกผ้าขาวก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้พอเห็นว่าเป็นช้างป่าแกก็กระโจนหนีไปหาหลวงปู่ที่กุฏิทันทีตัวสั่นงันงก พูดไม่ออกไปพักใหญ่เสียเวลาซักไซ้ไล่เลียงกันนานกว่าจะรู้เรื่องและตั้งสติได้

        การที่มีสัตว์ป่าเข้ามาเยี่ยมกรายเราบ่อย ๆ นี้ทำให้บรรดาพระเณรพากันระมัดระวังตัว  ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญความเพียรอย่างขะมักเขม้นมิได้ประมาทเลย

ออกพรรษา  ข้าพเจ้าได้ลาหลวงปู่ออกเดินวิเวกมาทางภูวัว  พอกลับจากภูวัวมาถึงดงหม้อทอง  ก็ไม่ได้พบท่านเพราะหลวงปู่ขาวท่านได้กลับไปวัดป่าแก้วบ้านชุมพลแล้ว  พรรษาที่  13  ข้าพเจ้าคงจำพรรษาที่ดงหม้อทองอีกวาระหนึ่ง  พรรษานี้  มีหลวงปู่คำอ้าย  ผู้เป็นชาวเชียงใหม่และเป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นมาจำพรรษาอยู่ด้วย  ท่านพระอาจารย์มั่นเคยแต่งให้ท่านมากำกับข้าพเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว  ระหว่างท่านส่งให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว  บ้านเดิมของข้าพเจ้าเมื่อพรรษาที่  7

ระหว่างพรรษานี้  คืนหนึ่งได้นิมิตว่ามีภิกษุณีองค์หนึ่งมาเทศน์ให้ฟัง  ก่อนจะเทศน์เมื่อท่านมาปรากฏองค์  รู้สึกว่า  งามมาก ข้าพเจ้าจึงถามว่าท่านเป็นใครท่านก็ตอบว่าเป็นภิกษุณีอรหันต์และบอกชื่อให้ข้าพเจ้าทราบด้วยเมื่อท่านบอกชื่อแล้วท่านก็ก้มลงกราบข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าตกใจ  จะรีบกราบตอบเพราะทราบว่าท่านเป็นพระอรหันต์  แต่ท่านก็ยกมือห้ามทันที  ทำให้ข้าพเจ้าระลึกได้ถึงพระธรรมวินัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุณีแม้จะเป็นอรหันต์จะต้องกราบภิกษุเสมอ  แม้ภิกษุนั้นจะเพิ่งบวชในวันนั้นก็ตาม...

โอวาทที่ท่านเมตตาเทศน์ให้ข้าพเจ้าฟังนั้น  มีอรรถรส  ดื่มด่ำ  น่าฟังอย่างยิ่ง

       พอออกพรรษาได้ล่ำลากันไปหาที่วิเวกโดยข้าพเจ้าได้เดินทางไปทางภูวัวอีก  ในระยะนี้หลวงปู่ขาวท่านได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านเลื่อม  ทางทิศตะวันตกของจังหวัดอุดร  เพราะท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ( จูม  พนฺธุโล )  ได้อาราธนาท่านให้ไปฉลองศรัทธาชาวบ้านเลื่อม  ท่านจึงไปจำพรรษาที่นั่น  เมื่อออกพรรษาแล้วท่านทราบว่า  ข้าพเจ้าธุดงค์ไปที่ภูวัว  ท่านก็แต่งญาติโยมให้มาหาข้าพเจ้าที่ภูวัวให้ข้าพเจ้าไปรับท่านเพื่อจะไปจะพรรษาที่ภูวัวด้วยกัน  ข้าพเจ้าจึงไปรับท่านจากที่อุดรมาเพื่อไปจำพรรษาที่ภูวัว

ท่านพระอาจารย์สอน อุตตรปณฺโญ และท่านพระอาจารย์คำ กาญจนวณฺโณ
ยืนอยู่ตรงจุดที่เคยสร้างศาลาพระทำปฎิโมกข์ และมีเสือมากัดหยอกล้อกันก็ ณ.ที่นี้

สะพานเชื่อมระหว่างสองโขดหิน

ท่านพระอาจารย์สอน ชี้ตรงจุดซึ่งกุฎิหลวงปู่ขาว อนาลโย เคยตั้งอยู่

สภาพกุฎิดงหม้อทอง ท่านนั่งดูโขลงช้างมากินน้ำบนนี้
และบนลานหินทางซ้ายมือ ท่านเอาปี๊บคว่ำนั่งภาวนา

ซอกเขาซึ่งเสือเคยอยู่

แนวทางจงกรมบนหลังโขดหิน

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

17.พรรษา 10 พ.ศ 2495 จำพรรษาที่ดอนกระพุง - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ



พรรษา  10  พ.ศ  2495
จำพรรษาที่ดอนกระพุง
ชายป่าดงหม้อทอง  อ.วานรนิวาส

       พรรษาที่  10  นี้  ข้าพเจ้าจำพรรษาองค์เดียวอยู่ที่ดอนกระพุง   ชายดงหม้อทอง  บ้านม่วง  อำเภอวานรนิวาส  อาศัยชาวบ้าน  3  หลังคาเรือนบิณฑบาตเลี้ยงชีวิต  พวกเขาเป็นคนจน  เพราะเพิ่งอพยพเข้าไปหักร้างถางพงอยู่ใหม่  ๆ แม้จะจนยากหาเช้ากินค่ำ  แต่ก็อดทนมาก  มีศรัทธามาก

       ที่บริเวณนั้น  เชื่อกันว่า  เป็นที่เข็ดขวาง  คือ  เป็นที่ไม่ดีมีผีมาก  เป็นทุ่งร้าง  ว่างเว้นไม่มีคนกล้าไปทำมาหากิน  เพราะว่า  ไม่ว่าปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น  แห้งแล้งทั้ง ๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำสงคราม  เขาเรียกกันว่า  ทุ่งหนองอีดอนและทุ่งโซ่ง  ทุ่งโซ่งนี้  เคยเป็นที่อยู่ของพวกคนป่ากลุ่มหนึ่ง  เรียกกันว่า  พวกโซ่ง  แต่ตอนหลังก็ร้างไปหมด  เป็นทุ่งว่าง  แต่ก็มีลักษณะให้สังเกตคือยังมีต้นไม้ผล  เช่น  ต้นมะม่วงหลงเหลืออยู่  แสดงว่าคงมีบ้านเรือนผู้คนอยู่มาแต่โบราณ  หากขณะนั้นเป็นที่ยำเกรงว่าอยู่ไม่ได้  ผีจะขัดขวางไม่ให้อยู่  ปลูกอะไรก็จะไม่งอกงาม

       เมื่อข้าพเจ้าบอกว่าจะจำพรรษาที่นี่  ชาวบ้านก็ตกใจกันมาก  บอกว่า  อยู่ไม่ได้เพราะผีดุ  ถ้าอยู่ผีมันจะโกรธ  มาแกล้งทำให้เจ็บป่วยถึงตาย  ที่ทุ่งนี้กลายเป็นที่ร้างไปก็เพราะเหตุนี้แหละ  พวกเขามาตั้งบ้านเรือนกันก็ตั้งกันอยู่บริเวณรอบนอกหรอก

       ข้าพเจ้าไม่ฟังเสียงของเขา  คงจำพรรษาอยู่  ณ  ที่นั้นเพราะได้ตั้งใจไว้แล้ว

       พอถึงกลางพรรษา  เกิดนิมิตภาพขึ้นว่า  พวกผี  โซ่งพากันยกพรรค พวกมาเป็นฝูง  ๆ  พากันถือหอก  ถือดาบ  ถือปืน  อาวุธนานาชนิด  จะมาฆ่ามาฟันข้าพเจ้าให้ตาย  เมื่อมาถึงข้าพเจ้าก็พากันรุมใช้ทั้งดาบฟันหอกแทงและปืนยิง  ยิงเท่าไรก็ไม่ออก เอาหอกมาทุ่มแทงใส่ก็ไม่เข้า  เอามีดเอาพร้ามาฆ่าฟันก็ไม่เข้า ทำอย่างไร  ๆ  จนสุดความสามารถของเขา  แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายข้าพเจ้าได้  หัวหน้าผีก็เลยประกาศกับพวกบริวารผีว่า  เมื่อเราทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว  พวกเรามายอมท่านเสียเถอะ เลยพากันแต่งขัน  มีดอกไม้ธูปเทียนมาคารวะบูชาข้าพเจ้า ยอมอ่อนน้อมต่อข้าพเจ้า

       แม้จะเป็นเรื่องปรากฏในนิมิต  แต่ก็ประหลาดอย่างยิ่ง  ที่ต่อมาแถบบริเวณนั้นกลับปลูกบ้านเรือนได้  ปลูกข้าวทำนากันได้ผลดี  ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอันตรายใด ๆ และพวกประชาชนคนอด ๆ อยาก ๆ ไม่มีไร่ไม่มีนา  จึงได้พากันหลั่งไหล  เข้าไปจับจองที่วางเหล่านั้นเป็นที่ทำกิน  ต่อมาก็กลายเป็นไร่นาสาโททำข้าวกล้าบริบูรณ์  กลายเป็นคนพอมีพอใช้  มั่งคั่งพอสมควร

       เมื่อออกพรรษาแล้ว  ข้าพเจ้าได้ปรารภกับญาติโยมแถวนั้น  ว่าอยากจะเข้าไปอยู่ในดงหม้อทอง  เพราะบริเวณดอนกระพุงนี้ได้มีผู้อพยพ  เข้ามามากแล้ว  จึงควรหลีกเร้นหนีไปหาความสงัดต่อไป  นอกจากนั้นได้ข่าวว่าดงหม้อทองมีถ้ำใหญ่ ๆ อยู่มาก  มีภูเขาโขดหิน และพลาญหินสวยงามมากด้วย  ซักถามถึงความข้อนี้ญาติโยมก็รับว่าจริง  พวกผมเคยเห็น

       ข้าพเจ้าจึงขอให้โยมเขาพาไป  โดยเดินทางจากที่จำพรรษาตั้งแต่ฉันเสร็จในตอนเช้า  เดินตลอดวันสภาพภูมิประเทศเป็นป่าทึบ  รกชัฏ  พวกโยมเดินหน้าก็ต้องใช้มีดพร้าถางทางนำหน้า  พอเป็นช่องทางให้มุดลอด เดินไปได้  จนค่ำจึงถึงถ้ำที่ตั้งใจไป  ข้าพเจ้าตรวจดูบริเวณ  ก็เห็นว่าชัยภูมิน่าอยู่จริง  จึงขอให้ญาติโยมถากถางรื้อหลังถ้ำที่มีต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์รกเลี้ยวปกคลุมอยู่  เลยพักนอนที่นั่น  ตอนค่ำได้ยินเสียงสัตว์ป่าร้องระงมในดง  มีเสือมากมีช้างมาก  คืนนั้นเสือมาร้องคราง  คำรามอยู่โดยใกล้เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเสือร้อง  ทำเสียงเลียนสัตว์ต่าง ๆ ได้ที่ดงหม้อทองนี้เอง

       ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้อง  “ อู้ด...อื้อ   อู้ด...อื้อเหมือนเสียงวัว  ได้ยินครั้งแรกก็เข้าใจว่าเป็นวัว  จึงถามโยมบอกว่า  ไม่ใช่วัวหรอกครับ...เลยถามว่างั้นอะไร...ตอบว่าเป็นเสียงเสือใหญ่ครับ  ...แล้วเสือทำไมร้องเสียงเหมือนวัวล่ะ...ญาติโยมบอกว่า  มันร้องอย่างนี้แหละครับ  ธรรมดาเสือจะจับสัตว์อะไร  ก็จะต้องร้องเหมือนเสียงสัตว์นั้น  หากต้องการจับวัวก็ร้องเสียงเหมือนวัว  เพื่อล่อวัว  ถ้าจะจับหมาก็เห่าเหมือนหมาถ้าจะหลอกกวาง  ก็ร้องเหมือนกวาง  ....ปี๊บ....ปี๊บ เช่นนั้น  จะหลอกไก่ ก็ขันเหมือนไก่  แม้แต่มนุษย์เมื่อมันจะหลอกมันก็จะทำเสียงเหมือนคนพูดกันพึมพำทำให้คนหลงเชื่อ  นึกว่าเป็นมนุษย์เหมือนกัน เดินเข้าไปใกล้โดยไม่ระวังก็จะถูกจับเป็นเหยื่อได้โดยง่าย

ข้าพเจ้าจึงได้รู้อุบายอันชาญฉลาดของเสือ  ตอนดึกเสียงร้องเหมือนวัวก็หายไป  และได้ยินเสียงร้องเปลี่ยนใหม่ เป็น หม่าว  อือ  หม่าว  อือ  ฟังชัดๆก็เป็นอ่าว อือ อ่าวอือ  ตลอดคืนยังรุ่งเสียงไม่มีตกหรือเบาลงเลย  ข้าพเจ้าเดินจงกรมอยู่ที่นั้น  ฟังไปฟังมาก็ชักคุ้นกับเสียงเสือ  ไม่ได้นึกกลัวเลยอยากให้มันมาร้องให้ฟังทุกคืนทุกวัน  เพราะมันไพเราะดีและทำให้จิตสงบเร็วดี

       ฤดูแล้งแรกที่เข้าไปอยู่ดงหม้อทองนั้น  พวกญาติโยมที่ตามเข้าไปด้วยเขาอยากจะไปตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในดงหม้อทองบ้าง   ข้าพเจ้าจึงไปช่วยเลือกที่กำหนดที่ให้เขาตั้งบ้าน  เขาก็เลยถากถางป่าสร้างบ้านและ....ก็บอกกล่าวต่อ ๆ กันไปว่า  ข้าพเจ้าเจาะดงเข้าไปแล้ว  และจะอยู่จำพรรษาที่นั่นด้วย ความที่เขาเคยกลัวผี  กลัวป่าดงพงพี  กลัวสัตว์ป่า  ก็คลายลง  กลับมีความอุ่นใจขึ้นมาแทนที่  ประชาชนจากถิ่นต่าง ๆ จึงทยอยกันตามมา  ตั้งถิ่นฐานบ้านช่องเพราะเห็นว่า  ที่ดงหม้อทอง  ดินอุดมสมบูรณ์  ที่ทำเลทำมาหากินสะดวก  พวกประชาชนก็เลยอพยพตามเข้าไปตั้งบ้านเป็นปึกแผ่นแน่นหนา  เดิมทีดงแห่งนี้  ไม่มีหมู่บ้านข้าพเจ้าจึงเริ่มตั้งหมู่บ้านขึ้นให้ชื่อว่า  “ บ้านดงหม้อทอง “

       ไปอยู่ทีแรก  พวกเขาก็ต้องก่อร่างสร้างตัว  อดมื้อกินมื้อกันทั้งนั้น  แต่ภายหลังเมื่อตั้งบ้านเป็นปึกแผ่นแน่หนาแล้ว เดี๋ยวนี้  เขาก็เป็นผู้มีหลักฐาน  มีทรัพย์สมบัติพอสมควร  มีไร่นาสาโท  มีโรงสี  โรงเรือน  ไม่ยากจนข้นแค้นกันอีก

       พวกชาวดงหม้อทองนี้  แม้ข้าพเจ้ามาอยู่ภูทอกแล้ว  เขาจะพาลูกหลานจัดผ้าป่ามาเยี่ยมข้าพเจ้าที่ภูทอกเป็นประจำทุกปี  เด็กเล็ก ๆ  ในสมัยนั้น  มาปัจจุบันนี้จบปริญญาทำงานการกันเป็นหลักฐานหลายสิบคน


16.พรรษาที่ 9 พ.ศ.2494 ภูสะโกฏ - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ



พรรษาที่  9  พ.ศ.  2494
ภูสะโกฏ  บ้านหนองเม็ก    นามน

ข้าพเจ้าเห็นว่าที่ภูสะโกฏนี้  เป็นชัยภูมิดี  เป็นป่าอุดมสมบูรณ์  ร่มไม้สงบเยือกเย็น  บริบูรณ์ด้วยถ้ำและเงื้อมหิน  อากาศดี  สงบสงัด  น้ำท่าก็บริบูรณ์  จึงคิดจะจำพรรษาที่นี้  ได้ขอให้ญาติโยมช่วยปรับปรุงเสนาสนะเพื่อจะอยู่จำพรรษาญาติโยมเขาทำให้  2  หลังเพราะมีพระ  2  องค์เท่านั้น  ถ้ำที่พำนักอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ  1  กิโลเมตรการบิณฑบาตจึงไม่ลำบากเหมือนเมื่ออยู่ถ้ำพวง

       ระหว่างพรรษาได้ปรารภความเพียรอย่างหนักการภาวนาดีมาก  จิตรวมเป็นประจำมีนิมิตแปลกว่าพวกเจ้าภูมิ  เจ้าฐานเขามาบอกในนิมิต  ให้ข้าพเจ้าไปเอาพระพุทธรูปที่อยู่ในถ้ำสะโกฏ  7  องค์  เขายกให้ข้าพเจ้าไม่เชื่อ  ไม่สนใจ  จึงไม่ไป  คืนที่  2  เขาก็มาบอกอีก  ข้าพเจ้ายังไม่ไป  คืนที่  3
 เขามาบอกซ้ำและอ้อนวอนให้ไปเอา  ตื่นเช้า  ข้าพเจ้าเลยถามพวกญาติโยมและพระเณรในวัดบ้านดูว่ามีไหม  เคยได้ยินไหม  เณรวัดบ้านบอกว่า  ผมรู้จักถ้ำสะโกฏครับ  ข้าพเจ้าถามเณรว่าพาไปได้ไหมเณรบอกว่า  ได้ครับ  แต่เมื่อถึงแล้วอาจารย์ไปเอาเองนะผมไม่เข้าไปด้วย  ผมกลัวผี

        เณรเลยพาไป  พอถึงถ้ำนั้น  เณรก็ชี้ให้ดูว่า  ถ้ำนี้แหละที่เขาว่ามีพระโบราณ  ข้าพเจ้าเห็นก้อนหินใหญ่ปิดปากถ้ำอยู่  จึงงัดเอาก้อนหินนั้นออก  มองเข้าไปเห็นพระพุทธรูปนอนเรียงอยู่  7  องค์  เป็นพระพุทธรูปทองคำทั้งนั้น  องค์ขนาดนิ้วหัวแม่มือทุกองค์  ข้าพเจ้าจึงเชิญออกมาสักการบูชา  พอออกพรรษาแล้ว  ข้าพเจ้าก็ให้ญาติโยมเอาพระพุทธรูปไว้คืนที่เดิม ไม่ได้ถือเอาติดตัวไปด้วยแต่ปัจจุบันจะอยู่หรือไม่ก็ไม่ทราบ  

       ขณะจำพรรษาที่  9  ที่ภูสะโกฏนี้  เกิดนิมิตว่าพวกเจ้าภูมิเจ้าฐาน  ทางเชียงตุง ( ผีทางเชียงตุง )  ลงมาเยี่ยมข้าพเจ้า  มากันเป็นขบวน  ผีเชียงตุงสั่งผีดงมะอี่ว่าให้รักษาพระองค์นี้ให้ดีอย่าราวี  อย่าเบียดเบียนพระองค์นี้นะ  ผีเชียงตุงสั่งกำชับผีดงมะอี่ให้ดูแลรักษาข้าพเจ้า  ผีดงมะอี่ก็รับคำและว่าจะระวังรักษาข้าพเจ้าไม่ให้มีอันตรายเลย  นี่เป็นปรากฏการณ์ในนิมิต  จะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร  ขอท่านผู้ฟังโปรดพิจารณาเอาเองแต่ทว่า  นับตั้งแต่นั้นมาการอยู่ที่ภูสะโกฏนั้นก็สุขสบายดี  ข้าพเจ้าไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรเลย

ครั้นออกพรรษาแล้ว   ก็พากันแยกย้ายออกเที่ยววิเวก  ตามสมณวิสัยของพระธุดงค์กัมมัฏฐาน  มุ่งหน้าไปสู่จังหวัดสกลนคร  เมื่อไปถึงอำเภอสว่างแดนดินได้ข่าวว่าหลวงปู่ขาวมาอยู่จำพรรษา  ที่ถ้ำค้อ  ดงหลุบหวาย  หลุบเทียน  เลยพากันเดินขึ้นไปกราบนมัสการท่าน  ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั้น  1  พรรษาแล้ว  ถ้ำค้ออยู่ไกลหมู่บ้านมากประมาณถึง  300 เส้นหรือ  12  กิโลเมตร  การขบฉันท่านได้อาศัยแม่ชีทำอาหารถวาย  โดยให้ชาวบ้านช่วยกันทยอยส่งเสบียงอาหารขึ้นไปถวายไว้ให้ท่าน  ข้าพเจ้าไปพำนักอยู่ที่ถ้ำค้อกับท่านเป็นเวลาถึง  2  เดือน  เพราะเป็นที่วิเวกดี  มีถ้ำ  ชะเงื้อมเขามาก  

       ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ขาวเล่าให้ฟังว่า  เมื่อมาอยู่ครั้งแรกที่ถ้ำค้อนี้  เป็นถ้ำงูใหญ่เห็นเป็นรูลึกลงไปในพื้นเขา  มืดจนมองไม่เห็นว่าลึกสักปานใด  ท่านไปนั่งภาวนาอยู่ปากถ้ำ  วันหนึ่งมีงูเลื้อยออกมาจากปากถ้ำเลื้อยมาใกล้ชิดกับขาของท่านทีเดียว  ท่านลืมตาดู  ท่านว่าทีแรก  ท่านกลัวจนตัวแข็ง  งูนั้นเมื่อเลื้อยมาถึงท่านแล้วก็นิ่งเฉย  เหยียดตัวอยู่อย่างนั้น  ไม่ไปไม่มา  คล้ายกับจะมาเพิ่งพินิจดูอาคันตุกะใหม่แปลกปลอมเข้ามาในถิ่นของเขาให้เต็มตา  เมื่อท่านได้สติ  ก็พิจารณากำหนดความตาย  และแผ่เมตตาให้  ไม่นานงูนั้นก็เลื้อยจากไปตามประสาของสัตว์

       ในบริเวณล้อมรอบถ้ำค้อนั้น  เป็นป่าใหญ่ดงทึบมีสัตว์ป่า  เช่น  เสือ  ช้าง  หมี  กวาง  เก้ง  ท่องเที่ยวกันเป็นแดน  สมัยปัจจุบันนี้เข้าใจว่า  ป่าอาจจะเตียนกันไปหมด  และสัตว์ป่าก็คงจะลดน้อยถอยลงจนแทบไม่เหลือหลอ  

       ข้าพเจ้าอยู่กับหลวงปู่ขาวเป็นเวลาประมาณ  2  เดือน  จึงได้กราบนมัสการลาท่านออกวิเวก  เพราะเห็นว่าที่นั้นถ้าอยู่กันหลายองค์ลำบากเรื่องอาหารขบฉับ  เพราะอยู่ห่างไกลหมู่บ้านมาก  ไม่มีที่บิณฑบาตรข้าพเจ้าได้ลาท่านไปกับท่านอาจารย์คำบุ  ธมฺมธโร  ไปหาที่วิเวกต่อไป

       เรามุ่งหน้าไปออกอำเภอวานรนิวาส  ตั้งใจจะไปดูป่าบริเวณที่เรียกกันว่าดงหม้อทอง  ตำบลบ้านม่วง  ซึ่งได้ข่าวว่ายังเป็นบริเวณที่มีสภาพเป็นป่าอย่างอุดมสมบูรณ์  มีแมกไม้สูงใหญ่  มีสัตว์ป่านานาชนิด  มีถ้ำมีพลาญหินเหมาะเป็นที่ภาวนา

       เมื่อไปถึงชายดงหม้อทองแล้ว  ก็พากันไปอาศัยหมู่บ้านแห่งบ้าน  ซึ่งมีกันอยู่เพียง  3  หลังคาเรือนชาวบ้าน  3  ครอบครัวนี้  ก็เพิ่งอพยพเข้าไปอยู่ใหม่เหมือนกัน  เป็นคนจังหวัดยโสธร  ญาติโยม  3  หลังคาเรือนนี้  เป็นผู้มีศรัทธาดีมาก  เขาช่วยกันปลูกกระต๊อบเป็นเสนาสนะให้ท่านอาจารย์คำบุ  และข้าพเจ้าอยู่กันคนละหลัง

       ตอนนั้นเป็นเดือนมิถุนายน  เดือนเจ็ด

       คืนหนึ่ง  เวลาประมาณตีสาม  ข้าพเจ้ายังนอนหลับอยู่อย่างสนิท  ปกติโดยที่ดงหม้อทองเป็นดงหนาป่าทึบ  มีสัตว์ป่าอุดม  ทั้งฝูงช้าง  เสือ  หมี  เดินท่องเที่ยวกันอย่างเป็นเจ้าของป่า  เราก็มักจะสวนทางกับเจ้าสัตว์พวกนี้เป็นประจำ  แต่ก็เป็นการผ่านกันแต่โดยห่าง ๆ อย่างไรก็ดีคือนั้นปรากฏว่า  มีช้างใหญ่ฝูงหนึ่งออกมาหากินใกล้กับกุฏิพระมาก  เสียงดังสวบสาบใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงกิ่งไม้หักระเนนระนาด  ข้าพเจ้าตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงนั้น

       เห็นฝูงใหญ่ตะคุ่มอยู่  แต่แล้วเจ้าตัวหัวหน้าก็ส่งเสียง  คงจะสั่งบังคับบริวารให้หลีกห่างออกไปจากกุฏิพระเข้าไปในดง  แต่เฉพาะตัวมันเอง....คือเจ้าตัวหัวหน้าใหญ่  แทนที่จะเดินตามบริวารเข้าไปในดงมันกลับเดินตรงเข้ามาที่หน้ากระท่อมข้าพเจ้า  ช้างใหญ่ตัวนั้นมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า  ห่างประมาณ  6 – 7  เมตรเท่านั้น  แต่ความที่มันทั้งสูงทั้งใหญ่มองดูเหมือนกับกำแพงแผ่นศิลาทึบ จึงดูเหมือนมันมายืนค้ำกระท่อมอยู่ฉะนั้น  มันหยุดยืนนิ่งแล้วก็ร้องแปร๋น ๆ  ส่งเสียงโกญจนาท  คำรามลั่นไปทั้งป่า  แล้วก็แสดงการอาละวาดมีการตีพุ่มไม้บ้าง  เอาเท้าตะกุยดินบ้าง  ต่าง ๆ นานา

       เมื่อเห็นแต่ตัว  ก็แทบไม่ได้สติ  กลัวอยู่แล้วยิ่งได้ยินส่งเสียงขู่คำรามในเวลากลางดึกสงัดเช่นนั้นซ้ำมาอีก  ข้าพเจ้าก็ตกใจแทบสิ้นสติ  ขนพองสยองเกล้าใจหด  ใจหวิว  ใจกลัว  เหงื่อไหลไคลย้อย  ตัวสั่นงันเงกเหมือนผีเข้า  ลุกขึ้นจุดโคมไฟมือไม้สั่น

       ไม้ขีดก็เป็นใจด้วย  ดูไม่ค่อยจะติดได้เสียเลย  พอจุดโคมได้  ข้าพเจ้าก็ถือออกมานอกกระท่อมทั้ง ๆ ที่มือยังสั่นระรัว  เขาว่ากันว่า  ช้างกลัวแสงสว่างแต่มันจะจริงหรือถ้าเผื่อมันเห็นแสงสว่าง  แล้วกลับวิ่งสวนเข้ามาเล่า....?  

       ใจหนึ่งคิดว่า   ถ้าช้างเข้ามา  เราก็จะกระโดดขึ้นต้นไม้  แต่อีกใจหนึ่งก็เอ็ดว่า  เอ...เธอเป็นกัมมัฏฐานจะไปกลัวช้างทำไม  ช้างมันยังไม่กลัวเราเลย  เธอเป็นพระธุดงค์กัมมัฏฐานเป็นผู้เสียสละในชีวิตแล้วไม่ใช่หรือจึงออกธุดงค์กัมมัฏฐาน  ช้างไม่กลัวเราแล้วเราจะไปกลัวช้างทำไม  เราเป็นมนุษย์เป็นสัตว์อันประเสริฐ  แล้วยังเป็นพระที่ถือกันว่าเป็นเพศอันสูงสุด  ช้างมันเป็นสัตว์ช้างยังไม่กลัวเราเลยเราจะชั่วกว่าช้างอีกหรือ  แล้วก็คิดถึงคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า  ภิกษุที่เกิด  ความกลัว  ไปอยู่ป่าก็ดี  เรือนว่างก็ดี  ป่าช้าก็ดี  ป่าชัฏก็ดีเมื่อเกิดความกลัว  ขนพองสยองเกล้า  พวกท่านทั้งหลายพึงระลึกถึงเรา  คือ  พระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณเมื่อระลึกถึงเราอย่างนี้  ระลึกถึงพระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอย่างนี้  ความกลัวขนพองสยองเกล้าก็จักหายไป.....พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้อย่างนี้  เธอลืมหรือยัง

       พอข้าพเจ้านึกเตือนสติตัวเอง  ระลึกถึงพระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ  และพระสังฆคุณแล้ว  ความกลัวนั้นก็พลันหายไป  ข้าพเจ้าก็กลับเข้ามานั่งในกลด  กลับมากำหนดพิจารณาถึงความตายว่า  กลัวก็ตาย  ไม่กลัวก็ตาย  ผู้กลัวมันตาย  ผู้ไม่กลัวมันไม่ตาย  พิจารณาไปอย่างนี้  อยู่ที่ไหนมันก็ต้องตาย  ความตายไม่มีใครหลีกเว้นผ่านพ้นไปได้  ไม่ว่าจะตายด้วยประการใดก็แล้วแต่  ท่านจงปลงเสียซึ่งความตาย  อย่าไปหวังชีวิตเลย

       เมื่อกำหนดพิจารณาความตายอย่างนั้นแล้ว  จิตก็ค่อยคลายกลัวลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็หายไปหมดไม่มีความกลัวตายเหลืออยู่ในจิตเลย  ช้างก็ไม่กลัวตายก็ไม่กลัว  จิตค่อยสงบเยือกเย็น  เป็นจิตที่สิ้นกลัว  มีแต่ความอาจหาญ  เริงร่า  กล้าผจญกับความตาย  เป็นจิตที่กล้าหาญไม่สะทกสะท้าน  สงบเย็น  กลับนึกถึงช้างที่มาเป็นครูให้เรารู้จักสู้กับความกลัว  กล้าพิจารณาความตาย  มันคงยังยืนสงบนิ่งอยู่ข้างนอกกระมัง  ใจระลึกถึงมันด้วยความรัก  สงสาร

       ข้าพเจ้าเพ่งจิตที่สงบเย็นนั้นแหละ  ไปดูช้างบ้างเห็นช้าง เห็นช้างยืนอยู่ที่เดิม  กระแสจิตที่สงบ  ขณะนั้นคงจะรุนแรงมาก  ช้างจึงตกใจร้องแปร๋นก้องไปทั้งป่าเหมือนคนตีมัน  ฆ่ามัน  แล้ววิ่งหนีเตลิดเข้าป่าไป  รุ่งเช้ายังเห็นต้นไม้หักราบเป็นทางไป  ตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่เห็นฝูงช้างหรือช้างตัวใด  เข้ามาที่หมู่บ้านนั้นอีกเลย

       เมื่อเวลาใกล้จะเข้าพรรษา  ท่านอาจารย์คำบุ  ธมฺมธโร  ก็ลาข้าพเจ้ากลับคืนไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ขาว  อนาลโย  คงเหลือข้าพเจ้าอยู่ที่ดอนกระพุง  ชายป่าดงหม้อทอง  ต่อไปตามลำพัง


15.เอากระดูกช้างมาเป็นยาแก้โง่ - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

ท่านพระอาจารย์สอน อุตตรปัญโญ ได้แขวนกระดูกช้างให้ถ่ายถาพ
เพื่อจำลองเหตุการณ์ระหว่างที่ท่านพระอาจารย์จวน อยู่ ณ.ถ้ำพวง


เอากระดูกช้างมาเป็นยาแก้โง่

อยู่ต่อมา ได้มีพวกญาติโยม  พ่อออก  แม่ออก  สีกาสาว  ขึ้นไปเที่ยวชมถ้ำพวงมากขึ้น  บางคนก็ไปส่งเสบียงอาหาร  ญาติของสามเณรคนหนึ่งเป็นหญิงสาวไปส่งอาหารถวายพระทุกวัน  เขาไม่ได้ส่งแต่อาหาร  หากแต่ส่งสายตามาให้ด้วย  ทำตาหวานหยาดเยิ้ม  สายตาของเขาลิด...ลิด..ลิด  แรก ๆ ก็ไม่รู้สึกอะไร  แต่มองตาหวานทุกวัน ๆ ก็เกิดความรักความยินดีในหญิงนั้นเห็นนัยน์ตาของเขาว่างาม  ว่าสวย  ความจริงเขาอาจจะมีกิริยาอ่อนหวาน  ทำตาหวานเช่นนั้นเองตามประสาหญิงสาว  แต่ตัวเราไปหมายนัยน์ตาของเขาเอง  หลายวันเข้า  จิตก็เกิดยินดีในสายตาของเขา

        เวลาภาวนา  เคยพิจารณากระดูกของข้าพเจ้าเอง  มองเห็นแจ่มชัด  กำหนดลงไปทีไร  ก็เห็นกระดูกของเราชัดแจ้งอยู่ดังนั้นแต่คราวนี้  ภาวนาไป  พิจารณากรรมฐานไป  กลับมองไม่เห็นกระดูกอกของเรา  เห็นแต่สายตาของสีกา  มาซับซาบอยู่ในจิต  เห็นแต่ความงามของรูปร่างหน้าตาของเขาลอยวนเวียนแทนหมด  จิตไม่สงบพยายามแก้ไขอย่างไรก็ไม่เป็นผล  ภาวนาทีไรก็เห็นแต่ตาหวานของเขาทุกที  จิตไปจรดจ่ออยู่แต่สายตาลิด-ลิด ๆ ของเขา

        เผอิญมีโยมผู้ชาย  2  คน  ขึ้นมาสนทนาด้วย  คือ  พ่อออกเล็กและพ่อออกนิลมาเล่าว่า   มีคนมาฆ่าช้างตายอยู่ไม่ไกลนัก  และเวลานี้เขากำลังเผาซากช้างนั้นข้าพเจ้าจึงถามว่ามีกระดูกช้างเหลือบ้างไหม  เขาตอบว่า  มี  จึงบอกเขาว่า  จะขอกระดูกขาช้างสักท่อนหนึ่งจะเอามาทำยาแก้โง่  เขาก็รับคำ  และลาไปเอากระดูกช้างมาให้  ที่ซึ่งช้างตายนั้นอยู่ไม่ไกลจากถ้ำที่ข้าพเจ้าอยู่ห่างกันเพียง  3  เส้น  ดังนั้นประเดี๋ยวเดียวโยมก็แบกกระดูกขาช้างกลับมาท่อนหนึ่ง  ยาวสักศอกหนึ่งได้ข้าพเจ้าจึงเอาฝ้ายมาฟั่นทำเป็นเชือกร้อยกระดูกขาช้างท่อนนั้น  แล้วก็เอาขึ้นมาแขวนคอตนเองไว้  แขวนไว้ตลอดเวลา  เดินจงกรมก็แขวนไว้ที่คอ  นั่งภาวนาก็แขวนไว้ที่คอ  แขวนมันอยู่เช่นนั้น  ไม่ยอมถอดออก  แล้วก็สอนตัวเองว่า “ เนื้อไม่ได้กิน  หนังไม่ได้นั่ง  เอากระดูกมาแขวนคออย่างนี้แหละ  ถ้าเธอภาวนาไม่เห็นร่างกระดูกไม่เห็นกระดูกในตนของตนแล้ว  เราจะไม่ปลด  ไม่เปลือง  ไม่แก้ออกให้  แขวนมันอยู่อย่างนี้  รู้จักไหม  กองกระดูก  กระดูกภายนอก  กระดูกภายในมันก็เหมือนกัน  เราก็เป็นสัตว์หนึ่ง “   

       ข้าพเจ้าเทศน์ให้มันฟัง  มันอยากจิตไม่สงบ  มัวแต่ไปหมายสายตาของเขาอยู่อย่างนั้น

       และก็เกิดอุบายว่า  “ ธรรมดาถ้าควายตัวไหนมันดื้อมันด้าน  ไหบุกรั้วเขา ไปเข้ากินพืชผักในสวนของเขาไม่เชื่อฟังเจ้าของ  เขาก็จะต้องแขวนไม้ไว้ทรมานมันอย่างนี้แหละ  เธอก็เหมือนกัน  จิตมันดื้อ  มันด้าน  ไปหมายสายตาของเขาว่าดี  ว่าสวยอย่างนั้นอย่างนี้  เราจึงต้องเอากระดูกช้างมาแขวนคอ  แก้จิตดื้อด้านของตัวเองบ้าง  เดินจงกรมก็แขวน  นั่งภาวนาก็แขวน  แขวนมันอยู่อย่างนั้น  เว้นเสียแต่นอน  ถ้าเธอไม่แก้ไขตัวเอง  

       ถ้าจิตเธอไม่สงบ  ไม่ถอนจากสายตาของเขา  เราเป็นไม่แก้ให้  

       ข้าพเจ้าให้โอวาท  ทรมานมัน  บางทีเวลาฉันหมากบ้วนน้ำหมากไปถูกกระดูกช้าง  กระดูกก็แดงเหมือนเลือด  ข้าพเจ้าแขวนกระดูกช้างไว้เช่นนั้น  จนกระทั่งจิตสงบ  ไม่มีความรู้สึกในสีกาคนนั้นอีกแล้ว  จึงยอมถอดกระดูกนั้นออกจากคอ

       ระหว่างที่ยังคงเอากระดูกช้างแขวนคอ  เดินจงกรมนั่งภาวนา  นั่นแหละ  วันหนึ่งท่านอาจารย์เพ็ง  เตชะพโลมาเห็นข้าพเจ้าเอากระดูกช้างแขวนคอเดินจงกรมภาวนาท่านก็หัวเราก๊ากใหญ่เลย  คงคิดว่า  ข้าพเจ้ามีสติวิปลาสไปแล้ว  พอรุ่งเช้าลงไปบิณฑบาตท่านพระอาจารย์เพ็งจึงไปกราบเรียนหลวงปู่ขาว  ที่จำพรรษาอยู่ตีนเขาภูเหล็กคือที่หวายสะนอยนั่นเอง  ว่า “ ครูบาจวนเอากระดูกช้างมาแขวนคอ  เดินจงกรมและนั่งภาวนาและก็เคี้ยวหมากบ้วนน้ำหมากลงรดกระดูกช้าง  เป็นสีแดงจ้า  ครูบาจวนทำอย่างนั้น เห็นจะเป็นบ้าไปแล้ว  วิปริตไปเสียแล้ว “

หลวงปู่ขาวได้ฟังดังนั้น  จึงได้นิ่งพิจารณาและตอบว่า  “ ฮ้าย....  ไม่ใช่เป็นคนบ้า  ไม่ใช่คนวิปริตหรอกอันนี้เป็นอุบายของท่านต่างหาก  ท่านคงมีเหตุจำเป็นจึงต้องใช้อุบายนี้  คนบ้าคงจะไม่ทำอย่างนี้  นี่เป็นอุบายสำหรับทรมานของท่านต่างหาก  คงจะเพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง  เราควรคอยรอฟังกันไปก่อนอย่าเพิ่งเข้าใจว่าท่านเป็นบ้าเลย

       ครั้นข้าพเจ้าจิตสงบเป็นปกติ  จิตจืดจางจากสายตาหวานของหญิงสาวผู้นั้น  การภาวนาก็ดี  จึงเอากระดูกช้างออกจากคอ  แล้ววันหนึ่งก็ไปกราบนมัสการหลวง  ปู่ขาว   อนาลโย  ท่านก็ทักและถามว่า

        “  ท่านจวน  ทำไมจึงเอากระดูกช้างไปแขวนคอ  เดินจงกรมและนั่งภาวนา?  

       ข้าพเจ้าก็เลยเรียนถวายท่านว่า  “ ขณะนั้นสีกาสาว  ที่บ้านโพนสวาง  เขามาส่งอาหารแทบทุกวัน  เขามาส่งสายตาให้ทำตาหวานใส่  หลายวันเข้า  ก็ไปหมายสายตาของเขา  ทำให้จิตใจไม่สงบ  ฉะนั้นกระผมจึงหาอุบาย  เอากระดูกช้างมาแขวนคอเดินจงกรมและภาวนา  เพื่อทรมานมัน  ตอนก่อนนั้น  กระผมพิจารณากระดูกอกตัวเองเห็นได้ชัดเจน   พอมาคิดถึงสายตาของสีกาสาวเข้า  ทำให้ไม่สามารถพิจารณากระดูกของตัวเองได้  จึงเอากระดูกช้างซึ่งเป็นกระดูกสัตว์เหมือนกัน  มาเป็นสักขีพยานแขวนคอภายนอก  เพื่อน้อมเอากระดูกที่แขวนคอนั้น  เข้าไปสู่กระดูกอกที่แขวนคอภายมนของตน  ว่ากระดูกที่แขวนคออยู่ภายนอกและกระดูกที่แขวนคอยู่ภายใน  ก็เป็นกระดูกสัตว์เหมือนกันทำไมท่านจึงไม่เห็น  ถ้าท่านไม่เห็น  เราก็ไม่แก้ออกให้  นี่แหละท่านไปหมายเอาสายตาของเขา  โบราณท่านว่า..เนื้อไม่ได้กิน  หนังไม่ได้นั่ง  กระดูกแขวนคอ  ต่องแต่ง – ต่องแต่ง  อย่างนี้และกระผมก็ได้อุบายสอนตนอีกว่า  ธรรมดาควายตัวไหนมันห้าวมันคะนอง  มันดื้อ  มันด้าน  มันไปบุกรุก  ทำลายเรือกสวนของคนอื่นเขา  เขาต้องทรมานมันเอาไม้ยาว ๆ มาแขวนคอมัน  เพื่อให้มันละพยศอันร้าย  เมื่อมันละพยศอันร้ายแล้ว  เขาจึงเอาไม้ออกจากคอมัน    

       หลวงปู่ขาวท่านก็เลยย้อนถามว่า  

        “ เมื่อท่านทำเช่นนี้แล้ว  เป็นอย่างไร  ได้ผลไหม  สงบไหม “  

       ข้าพเจ้าจึงเรียนท่านว่า  “ ได้ผลครับ  ได้ผลดี  หายเลย  จิตสงบดีแล้ว  ผมจึงปลดออก  แก้ออกจากคอตนเอง “  

       ท่านหัวเราะใหญ่และชมว่า  “ แหม...อุบายอย่างนี้ชอบกลนัก  ดีมาก  ผมยังคิดไม่ได้เลย  เมื่อท่านเพ็งมาบอกผมว่า  ท่านจวนเป็นบ้า  จิตวิปริต  เอากระดูกช้างแขวนคอเดินจงกรม  และนั่งภาวนาผมก็ยังไม่เชื่อ อุบายอย่างนี้แปลกประหลาดจริง ๆ ดีนัก  ได้ผลดี

       ในขณะที่จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำพวงนี้ชอบมีนิมิตแปลก ๆ เกิดขึ้น  ข้าพเจ้าจะเล่าไว้เพื่อให้ผู้ฟังถือเป็นคติต่อไปคือขณะที่ทำความเพียรภาวนา  บางวันจิตสงบลงบางครั้งเห็นรูปนิมิตภาพภาพโยมมารดาที่มรณภาพไปแล้วก็มี  บางครั้งเมื่อจิตมันสงบ  คือ มันจะรวมแต่ก่อนมันจะรวม  ขาดจากอารมณ์  อยู่ในขณะที่จะรวมแหล่มิรวมแหล่  บางทีได้ยินเสียงเขารำ  เขาร้อง  ซึ่งพอจะจำเสียงเพลงที่ร้องเอื้อนอย่างไพเราะได้.... “ โอ้.... ละหนอ....หวายสะนอย  ก็แม่นหนองดีบุก  อันที่จริงที่หวายสะนอย  เป็นแร่ดีบุกอยู่นั่นเอง

        และบางครั้งได้ยินเสียงแตร  เสียงสังข์ที่เป็นเสียงทิพย์ในขณะจิตจะรวมแหล่หรือในขณะกึ่งกลางการรวมหรือการไม่รวม  ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตฟังตามเสียงนั้นและเพลิดเพลินตามเสียงนั้น  เพราะเสียงนั้นเพราะ – เสนาะจริง ๆ แล้วจิตก็ถอนจากการรวม   เมื่อจิตถอนจากการรวมก็มีสติตามเสียงนั้นอยู่  ว่าเป็นเสียงอะไรแน่  พอจิตถอนมาอยู่โดยธรรมดาแล้ว  ปรากฏว่า.......ที่ไหนได้  มันเป็นเสียงน้ำที่ตกจากหิน  และเสียงลมพัดใบไม้ที่มันกระทบกันต่างหากจึงมาได้อุบายมาพิจารณาว่า  อ้อ....เมื่อจิตมันละเอียดลงไป  ถ้าเราไม่มีสติ  กระทบเสียงอะไรเสียงนั้นก็กลายเป็นเสียงที่วิจิตรพิสดารขึ้นไป  กลายเป็นเสียงทิพย์ไป

ต่อมาได้เกิดนิมิตอีก  ปรากฏว่า  ข้าพเจ้านั่งภาวนาอยู่ในกุฏิเล็ก ๆ หลังหนึ่งและมีอัฐิ  คือ  กระดูกอยู่ในหม้อตั้งวางอยู่  ขณะข้าพเจ้ากำลังนั่งเพ่งภาวนาดูอัฐินั้น  ก็มีเด็กคนหนึ่งถือดาบกลม  เลื่อม  คมดาบมีสนิมกินไปทั่ว  เด็กคนนั้นจะเอาดาบเข้ามาแทงแยงขึ้นมาตามช่องกุฏิ  หวังจะทำร้ายข้าพเจ้าแต่แทงเท่าไรก็ไม่ถูกสักที  เด็กจึงประกาศว่า – ถ้าเช่นนั้นจะไปบอกพี่ชายของเขาให้มาฆ่าข้าพเจ้า พี่ชายของเด็กคนนั้นก็ถือดาบเล่มนั้นเงือดเงื้อเข้ามาในกุฏิ  จะแทงข้าพเจ้าให้ตายโดยจะตัดคอเลยข้าพเจ้าจึงถามว่า  ข้าพเจ้ามีความผิดอะไรจึงจะมาฆ่าให้ตาย  เขาก็ไม่ฟัง  ตรงข้ามมาดึง  ผมข้าพเจ้า  ( ข้าพเจ้าในรูปฆราวาส ) และจะเอาดาบมาแล่คอข้าพเจ้าให้ขาด  ข้าพเจ้าก็เลยประกาศว่า  เอ้า....ถ้าเรามีความผิดก็เชิญฆ่าเลย  แต่ถ้าเราไม่มีความผิดฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย  นี่จะเอาดาบมาแล่คอเรา  อย่างไรก็แล่ไม่เข้า  ผู้ถือยึดมั่นในคุณพระรัตนตรัย  ถึงพระรัตนตรัยแล้ว  ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย  

       เขาจับผมข้าพเจ้าแล้วเอาดาบมาแล่คออีกแล่ไปเท่าไร ๆ คมดาบก็ไม่เข้าไประคายผิวคอแม้แต่น้อยทำเท่าไร ๆ ก็ไม่เข้าเมื่อหมดความสามารถ  เขาจึงวางดาบลง  ยกมือไหว้  แล้วประกาศว่า “ ต่อแต่นี้ไปขอเป็นเพื่อนเป็นมิตรกัน  ไม่อิจฉาพยาบาทกันเลย “

       เป็นนิมิตเป็นปรากฏขึ้น  จะเป็นเหตุบังเอิญประการใดก็ไม่ทราบ

       ต่อมาข้าพเจ้านั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ  ก่อนสว่างได้เห็นสุนัขตัวหนึ่งมานั่งเฝ้า  ข้าพเจ้าได้พิจารณาไป  พอสว่างก็ออกไปบิณฑบาตร  เจ้าสุนัขตัวที่นั่งเฝ้าอยู่ก็ตรงเข้ามากัดข้าพเจ้า  แต่ไม่เข้า  อีก  3  วันต่อมา  สุนัขตัวนั้นก็เลยตาย  ชาวบ้านก็พูดกันทั่วไปว่า   สุนัขตัวที่กัดครูบาจวนตายแล้ว   จะเป็นเพราะเหตุใดก็ไม่ทราบ  เราไม่ได้เจตนาให้เขาตาย  เขาตายเอง

ระหว่างพรรษาที่  8  ที่จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำพวงนี้มีนิมิตอีกอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะขอนำมาเล่าเพื่อให้ประวัติสมบูรณ์  และเพื่อผู้ฟังจะได้น้อมนำไปพิจารณาเอาเอง

       กล่าวคือ  วันหนึ่งเมื่อฉันจังหันแล้ว  และทำความเพียรโดยเดินจงกรมพอประมาณแล้ว  ถึงเวลาพักผ่อนก็เข้าพักผ่อนตามปกติ  พอนอนไป  ระหว่างหลับบ้างไม่หลับบ้าง  อยู่ในระหว่างครึ่งกลางระหว่างหลับ  และไม่หลับ ปรากฏว่า  ยังลืมตาอยู่  แต่จิตสงบนิ่งไม่ฟุ้งสร้านอะไร  นัยน์ตายังลืมอยู่อย่างชัดแจ้ง  แต่ก็ปรากฏภาพนิมิตมียักษ์ใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามาจะขอกินดีของข้าพเจ้า  แกว่า  แกอยากจะกินดีของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้านอนอยู่  ยักษ์ก็เข้ามากดมือ  กดขาของข้าพเจ้าไว้ข้าพเจ้าก็เลยประกาศให้ยักษ์ทราบว่า  ดีของข้าพเจ้าไม่มียักษ์เอ็ดตะโรว่า  ต้องมีซี....คนไม่มีดี  มันไม่มีหรอก  ต้องมีดีกันทุกคน  คือ  ทุกคนต้องมีดีทั้งนั้น

       พอว่าอย่างนั้น  ยักษ์ก็เอามีดคว้านท้อง แหวะอกของข้าพเจ้าออก  ค้นคว้าหาอย่างไร  ก็ไม่พบดีของข้าพเจ้านี่เป็นการปรากฏในจิต

       เมื่อยักษ์ค้นคว้าหาดีไม่เห็น  แกก็เลยออกปากว่าแหม – พระองค์นี้ไม่มีดีเลย  ดีพระองค์นี้ไม่มีแล้ว  แล้วก็ประกบแผลให้ดีดังเดิม  จากนั้นข้าพเจ้าก็ตื่นจากนิมิตนั้น  จึงมาพิจารณาเรื่องราวที่เห็นว่า  ยักษ์มาหาดีของข้าพเจ้า  ได้เอามีดแหวะและควักท้องออก  ควักอกออกชอบค้นหาดี แต่ก็หาดีไม่พบ  ตกลงเลยหนี  ไม่ได้กินดีของข้าพเจ้า  พิจารณาตามนิมิตนี้  อาจคิดได้  2  ประการ  ประการแรก  คิดว่า  คนเรามีดี  2  ชนิด  คือ  ดีมีฝักอย่างหนึ่ง  และดีไม่มีฝักอีกอย่างหนึ่ง ดีไม่มีฝักเป็นดีที่ซาบซ่านอยู่ทั่วไป  ส่วนดีมีฝักนี้  อาจจะอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งของระหว่างตับ  ตามตำราท่านกล่าวว่าพวกดีที่มีฝักนี้ชอบจะเป็นโรคนิ่ว  โรคเบาหวานกันโดยมาก  ส่วนพวกดีที่ไม่มีฝัก  ที่ซาบซ่านอยู่ทั่วสรรพางค์ร่างกายนั้น ไม่ใคร่เป็นโรคนิ่ว  .....อาจจะเป็นอย่างประการนี้ก็ได้

       หรืออีกประการหนึ่ง  นิมิตการที่ยักษ์จะพยายามค้นคว้ากินดีนี้  อาจจะมีความหมายว่า  ยักษ์พยายามค้นคว้าหาดวงจิตวิญญาณของข้าพเจ้า  แต่ดวงจิตดวงวิญญาณของเราในขณะนั้นมันสงบเยือกเย็นยักษ์จึงค้นคว้าหาไม่เห็น  เพราะยักษ์มีดวงจิตดวงวิญญาณอันหยาบช้า  ไม่ละเอียด  จึงไม่เห็นกัน....อย่างนี้ก็อาจเป็นได้

       อย่างไร  ขอให้ท่านผู้ฟังและผู้อ่านทั้งหลายโปรดนำไปพิจารณาเอาเอง  ข้าพเจ้าไม่ใช่หมอ  ไม่ใช่แพทย์

       เมื่อออกพรรษาแล้วเสร็จกิจการงานทางสำนักก็ได้พากันนมัสการล่ำลาหลวงปู่ขาว  อนาลโย  ออกวิเวกไปตามสถานที่ต่าง ๆ โดยข้าพเจ้ากับพรรคพวกอีก 2 องค์  ได้เดินทางจากอำเภอสว่างแดนดิน  ไปในเขตจังหวัดอุดร  หนองคาย  และจังหวัดเลย  ได้ไปในอำเภอหนองบัว  อำเภอผือ  อำเภอเชียงคานและปากชม  ต่อมาได้เข้าไปพักวิเวกอาศัยอยู่กับท่านพระอาจารย์หล้า

       ท่านพระอาจารย์หล้าองค์นี้เป็นพระกัมมัฏฐานที่สำคัญมากรูปหนึ่ง  ท่านอยู่วิเวกองค์เดียว  อาศัยพวกชาวป่า  ชาวดอย  ชาวไร่ 3 ครอบครัวที่อยู่บนหลังภูพาน  ระหว่างอำเภอผือกับอำเภอเชียงคานต่อกัน   แต่ค่อนมาทางเขตของอำเภอผือมากกว่า  ท่านจำพรรษาวิเวกอยู่ที่นั้นหลายปีแล้ว  ประวัติท่านพระอาจารย์หล้า  ตามที่ท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง  บอกว่ากำเนิดของท่านเกิดอยู่ที่เวียงจันทน์  ประเทศลาว  เป็นคนลาว  เดิมท่านมีครอบครัว  มีลูกเมีย  แต่ต่อมาลูกเมียของท่านเสียชีวิต  ท่านจึงคิดอยากจะละบ้านเรือนออกบวช  ท่านข้ามมาบวชธรรมยุตในประเทศไทย  ครั้นบวชแล้ว  ก็ได้ติดตาม  ท่านพระอาจารย์เสาร์  กันตสีโล  เมืองอุบลไป  เป็นพระผู้อุปฐากใกล้ชิดท่านพระอาจารย์เสาร์  โดยประจำอุปฐากท่านพระอาจารย์เสาร์อยู่ถึง 9 พรรษา  จนกระทั่งท่านพระอาจารย์เสาร์มรณภาพขณะยังมีชีวิตอยู่  ท่านพระอาจารย์เสาร์ได้ให้โอวาทท่านพระอาจารย์หล้าไว้ว่า

        “ ท่านหล้า  ท่านต้องไปอยู่องค์เดียว  อย่าอยู่ปะปนกับหมู่นะ  ให้ไปหาวิเวกภาวนาอยู่องค์เดียว  นิสัยของท่านต้องอยู่องค์เดียว  ชอบอยู่องค์เดียว “

       ท่านพระอาจารย์หล้าเล่าให้ฟังว่า  เมื่อท่านพระอาจารย์เสาร์  กันตสีโลมรณภาพแล้ว  ท่านจึงหาทางหลบหลีกปลีกตัวจากหมู่คณะ  มาอยู่เฉพาะองค์เดียวในสถานที่ต่าง ๆ แถวอำเภอผือบ้าง  อำเภอหนองบัวบ้าง  และอำเภอท่าบ่อบ้าง

       ระยะที่ข้าพเจ้าไปอาศัยอยู่ในสำนักของท่านนั้นท่านอยู่หลังภูพาน  อาศัยบิณฑบาตจากชาวไร่  3  ครอบครัว  ข้าพเจ้าได้ศึกษาธรรมะของท่าน  ฟังเทศน์ของท่านอยู่ประมาณ  1  เดือน  จึงกราบลาจากท่านไป  ระหว่างที่อยู่ด้วยกัน  ท่านเล่าประวัติช่วงหนึ่งของท่านให้ฟังว่า  ท่านเป็นคนลาวเวียงจันทน์  อยู่ในประเทศลาว  เกิดมาไม่เคยเรียนหนังสือไทยเลย  ข้าพเจ้าเลยถามว่า  ท่านอาจารย์ไม่ได้เรียนหนังสือไทยเลย  ทำไมอ่านได้เขียนได้  ท่านก็เลยบอกว่า  ที่ผมอ่านหนังสือไทยได้  เขียนหนังสือไทยได้นั้น  เพราะเวลาผมนั่งภาวนาไปจิตมันสงบ  ปรากฏภาพนิมิตหนังสือไทยเขียนอยู่ในกระดานดำทุกครั้ง ๆ ผมก็เลยเรียนหนังสือไทยในภาวนานั้นเอง  เรียนจากกระดาษดำในขณะนั่งภาวนานั่นเอง  เรียนทุกวัน ๆ ก็เลยอ่านได้  เขียนได้  เวลานี้ผมอ่านหนังสือไทยคล่อง  เขียนได้  อ่านได้สบาย  ไม่มีติดขัดเลย

พระอาจารย์หล้า เขมมปัตโต


        นี้เป็นประวัติที่ท่านพระอาจารย์หล้าได้เล่าให้ฟังผู้ฟังจะเชื่อหรือไม่เชื่อ  ก็สุดวิสัย  แต่ก็เป็นเรื่องที่ท่านผู้ภาวนามาแล้วได้ประสบด้วยตัวของท่านเอง

       เมื่อพักผ่อนวิเวกต่อไป  เดินทางไปทางอำเภอท่าบ่อ  จังหวัดหนองคาย  ลงเรือล่องตามแม่น้ำโขงที่อำเภอโพนพิสัยมาขึ้นที่อำเภอบึงกาฬ  มากับหมู่อีก  3  องค์  รวมเป็นพระ  4  องค์  รวมทั้งข้าพเจ้า  มุ่งหน้าจะเดินทางมาภูสิงห์และภูวัว  แต่เมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็หมดเวลาพอดี  รุ่งเช้าจึงไม่ได้ไปวิเวกที่ภูสิงห์  ภูวัว  ตามที่ตั้งใจไว้กลับเลยผ่านไปทางอำเภอเซกา  อำเภอบ้านแพน  อำเภอท่าบ่อ  ศรีสงคราม  ไปขึ้นรถที่อำเภอกุสุมาลย์  จังหวัดสกลนคร  ผ่านนครพนม  ลงไปเขตจังหวัดอุบลราชธานี

        พักอยู่อุบลราชธานีระยะหนึ่ง  ก็ขึ้นรถไปลงที่บ้านนาผือ  อำเภออำนาจเจริญ  เดินทางมุ่งตรงเข้าไปวิเวกที่ภูเขาแห่งนั้น  ขณะนั้นเป็นเดือนกรกฎาคม  ใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว  ไปพักวิเวกที่ถ้ำพู  บ้านเชียงเครือพักที่ถ้ำพู  7  วัน  ได้เกิดป่วยหนัก  เมื่อหายป่วยแล้วได้พากันออกจากที่นั้น  มุ่งหน้าต่อไปบ้านดงมะอี่  กิ่งอำเภอชานุมาน  สมัยนั้นยังไม่เป็นกิ่งอำเภอยังเป็น  ตำบลชานุมานอยู่ขึ้นกับอำเภอมุกดาหารใกล้จะถึงวันเข้าพรรษาจึงไปถึงภูสะโกฏ  บ้านหนองเม็ก  นามน

14.พรรษาที่ 8 พ.ศ. 2493 จำพรรษาที่ถ้ำพวง - ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

พรรษาที่  8  พ.ศ.  2493
จำพรรษาที่ถ้ำพวง  อ.ส่องดาว  สกลนคร

       พอถึงเวลาจะปวารณาเข้าพรรษา  หลวงปู่ขาว  อนาลโย  ก็ย้ายจากถ้ำเป็ดมาจำพรรษาที่เชิงเขาภูเหล็กบริเวณที่เรียกว่าหวายสะนอย  ส่วนข้าพเจ้า  หลวงปู่ท่านให้ไปจำพรรษาที่ถ้ำพวง  หรือวัดบนของวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม  ที่ท่านพระอาจารย์วันสร้างอยู่เดี๋ยวนี้  ถ้ำพวงนี้แต่ก่อนเป็นถ้ำที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญมาก  ท่านแต่งให้ข้าพเจ้าไปอยู่องค์เดียวในฤดูแล้ง  ตั้งแต่เดือนมกราคมเดือนอ้าย  จนถึงเดือนเจ็ดอยู่คนเดียวตลอด  ตอนเช้าไปบิณฑบาตที่บ้านหนองบัว  ซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำลงไปที่ทุ่งข้างล่างถึง  130  เส้น  ( ประมาณ  5  กิโลเมตรเศษ ) การบิณฑบาตต้องเดินลงจากเขา  แหวกทุ่งหญ้าเพ็ก  ซึ่งสูงท่วมหัวไปโดยตลอด  การจะไปการจะมากินเวลามากดังนั้นบางวันจึงฉันข้าวที่ตีนเขา  แล้วถึงกลับขึ้นไปอยู่บนถ้ำพวง

       ที่ถ้ำพวงนี้  ตามประวัติที่เล่ากันมาว่า  ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าให้ฟังว่า  ที่ถ้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก  ห่างจากถ้ำพวงไม่เกิน  10  เมตร  เคยมีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อพระนรสีห์  มานิพพานที่นั่นตามประวัติว่า  ท่านพระอาจารย์มั่นเคยมาวิเวกที่นี่เมื่อจะเข้าใกล้ถ้ำนั้นห่างประมาณ   12  ศอก  ท่านจะต้องให้ทุกคนถอดรองเท้า  เพื่อแสดงความคารวะสถานที่แล้วแม้องค์ท่านเองก็ปฏิบัติเช่นนั้นอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน  ท่านสอนศิษย์ทุกคนให้กราบไหว้  เพราะเป็นถ้ำที่สำคัญ  พระอรหันต์มานิพพาน

       และบริเวณถ้ำพวงนี้  แต่ก่อนมีช่องหนึ่งลึกลงไปได้เขา  เป็นช่องที่ใหญ่และลึกมากอยู่ไม่ไกลจากถ้ำพวง  ท่านพระอาจารย์สิงห์   ขันตยาคโม  ได้ไปวิเวกและไปพบว่า  ข้างล่างนั้นเป็นถ้ำที่พญานาคอาศัยอยู่ท่านว่า  มันมาพ่นพิษใส่ท่าน  ท่านจึงเอาก้อนหินมาปิดทางช่องนั้นไว้แน่น  แต่ตอนหลังนี้  ไม่ทราบว่าอยู่ตรงจุดไหน  เพราะราบเรียบกันไปหมด

ถ้ำที่พระอรหันต์ "นรสีห์" มานิพพาน


บ่อน้ำซับข้างที่เดินจงกรม


ถ้ำพวง ตรงที่ท่านพระอาจารย์จวน ตั้งแคร่พัก ระหว่างจำพรรษาอยู่


ถ้ำที่ท่านเคยมาภาวนา


พระอาจารย์จันทาฯ ยืนอยู่ตรงที่ท่านพระอาจารย์ตั้งแคร่พัก
ข้างทางจงกมมีกระต่ายน้อยมายืนภาวนาอยู่ด้วยทุกวัน



บริเวณซึ่งกุฎิหลวงปู่ขาวเคยตั้งอยู่ หวายสะนอย

สระน้ำหลวงปู่ขาว - หวายสะนอย


       ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ที่ถ้ำพวงนี้  ปรากฏว่า  ที่สงบสงัดดีการภาวนาดีนัก  จิตสงบ  เวลาภาวนาจิตรวมดีบางคืนจิตรวมถึงคืนละ  3  ครั้งก็มี

       ข้าพเจ้าอยู่คนเดียวที่ถ้ำพวง  จนกระทั่งจวนจะเข้าพรรษา  ก็มีสามเณรชลิต ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นมหาชลิตอยู่ทางวัดฝั่งธนบุรี  ไปอยู่ด้วย  สามเณรชลิต  เป็นคนภูไท  บ้านโพนสวาง  หนองบัว  ซึ่งอยู่ใกล้กับถ้ำพวงสามเณรไปอยู่ร่วมด้วยและช่วยปฏิบัติข้าพเจ้าและต่อมาหลวงปู่ขาวได้แต่งท่านพระอาจารย์เพ็ง  เตชะพโลซึ่งต่อมาท่านไปอยู่ภูลังกา  และมรณภาพที่นั่นเมื่อปี 2521  นี้เอง  ให้ไปอยู่ด้วยอีกองค์หนึ่งเป็นเพื่อนกันและรักษากัน

       การภาวนาที่ถ้ำพวงนี้  มีปรากฏการณ์แปลกน่าบันทึกไว้คือเวลาบ่ายสามสี่โมง  เมื่อข้าพเจ้าออกเดินจงกรม  ทุกวันจะมีกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง  มานั่งหลับตานิ่งอยู่ที่ริมทางจงกรม  ห่างจากทางจงกรมเพียง  1  ศอก  กระต่ายน้อยตัวนั้นมานั่งเช่นนี้ทุกวัน......ทุกวัน  นั่งหลับตาพริ้ม...น่ารัก  น่าสงสารมาก  ทำกิริยาเหมือนกับขอนั่งภาวนากับพระด้วย  ความจริงมันจะภาวนาหรือเปล่าข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ  แต่การที่มันมานั่งนิ่ง  หลับตาอยู่ริมทางจงกรม  ใกล้ชิดราวสัก  1  ศอกเท่านั้นโดยไม่ตกอกตกใจ  หวั่นเกรงมนุษย์เช่นนี้  ก็ดูราวกับว่า  มันเคยมี “  นิสัยวาสนา “ ทางนี้มาแล้ว  พอข้าพเจ้าเลิกเดินจงกรม  เข้าไปนั่งพักที่ในร้านที่ยกแคร่ไว้  กระต่ายน้อยก็จะพักจากทางจงกรมเข้าไปนั่งอยู่ใต้ร้านแคร่ด้วย  แต่ถ้าได้ยินเสียงคนมา  เสียงพ่อออกเดินมากระต่ายก็จะวิ่งหนีเข้าป่าไปทันทีเป็นเช่นนี้ตลอดมา  ข้าพเจ้าเห็นกระต่ายน้อยตัวนี้มานั่งภาวนาด้วยตาตัวเองทุกวัน


วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

13.พรรษาที่ 7 - พ.ศ.2492 วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว - ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ



พรรษาที่  7  - พ.ศ.  2492
วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว
สงเคราะห์โยมมารดา

       เมื่อกลับจากภาคเหนือ  เดินทางกลับอุบลราชธานีบ้านเกินคราวนั้น  ข้าพเจ้าได้ไปรับมารดามาบวชเป็นชีที่วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว ดังนั้นพอถึงเวลาใกล้จะเข้าพรรษา  ท่านพระอาจารย์มั่นจึงได้จัดให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านเดิมเพื่อสงเคราะห์โยมมารดา  และแต่งพระเถระองค์หนึ่งกำกับไปด้วย  ชื่อหลวงพ่อคำอ้ายคนจังหวัดเชียงใหม่  เป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นนั่นเอง  ก่อนลาท่านไป  ท่านพระอาจารย์มั่นได้กำชับข้าพเจ้าให้คำเตือนล่วงหน้าไว้ว่า  “ เมื่อออกพรรษาแล้วให้รีบกลับมาหาผมนะ  เดี๋ยวจะไม่ทันผม “

       เรื่องนี้ท่านได้ประกาศให้พระลูกศิษย์ทั้งหลายทราบเป็นการล่วงหน้ามาหลายปีแล้วว่า  ท่านได้กำหนดอายุของท่านไว้..... “ ผมอายุเพียง  80  ปีเท่านั้น  ก็จะมรณภาพแล้วดังนี้ในปีนั้นก็พอดีท่านอายุได้  80  ปีพอดี  พวกศิษย์จึงระมัดระวังกันเต็มที่  ข้าพเจ้าก็ไม่อยากจะจากท่านไปเลย  แต่ก็ติดขัดด้วยเป็นการที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่สั่ง  และเป็นการไปอนุเคราะห์โปรดมารดา  อันเป็นหน้าที่ของบุตร  ข้าพเจ้าจึงกราบลาท่านไปด้วยความอาลัยยิ่ง

        ขณะที่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว  นอกจากการปรารภความเพียรของตนเองแล้ว  ก็ได้ช่วยอบรมโยมมารดาที่บวชเป็นชีที่วัดบ้านเกิด   โยมได้ตั้งอกตั้งใจภาวนาเป็นอย่างดี  และต่อมาได้เล่าเรื่องภาวนาให้ฟังว่า

        “ โยมได้ภาวนา  บริกรรมว่า  พุทโธ – พุทโธ  อยู่แต่ในใจ  บางวันจิตจะรวมลงไปใสบริสุทธิ์  อยู่เฉพาะแต่จิตล้วน ๆ ไม่มีทุกขเวทนาเลย  แสนที่จะสบายยิ่งนักเมื่อเป็นเช่นนี้มันเป็นอย่างไร “ ..... โยมมารดาถาม


ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ จิตมันรวม   มันวางธาตุ  มันอยู่เฉพาะจิต  มันก็สบายน่ะซิ  ให้มันรวมอยู่เสมอ  แต่ให้มีสติรู้ว่าจิตของเรารวม  อย่าไปรบกวนจิต  อย่าไปบังคับจิตให้รวม  ให้รวมเอง  เมื่อจิตรวมเอง  เมื่อจิตรวมก็ให้มีสติ  เมื่อจิตถอนก็ให้มีสติมาพิจารณากายของตนและอย่าบังคับจิตให้ถอน  จะถอนให้ถอนเอง

        ได้แนะนำโยมมารดาแต่เพียงแค่นี้  ตามแนวอุบายคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่นที่เคยให้แก่ข้าพเจ้านั่นเองและโยมมารดาก็ไปภาวนาปฏิบัติตามแนวนี้

        วันต่อมาโยมก็มาเล่าให้ฟังว่า  จิตมันรวมบ่อยสามชั่วโมงก็มี  ตั้งแต่ย่ำค่ำจนถึงย่ำรุ่งก็มีและโยมพูดว่า

         “  ไม่มีใครตาย  มีแต่ผู้รู้.... รู้อยู่  ไม่มีผู้ตาย  ที่ว่าตาย  ตายนั้น  เพราะคนไม่รู้สมบัติ  เพราะร่างกายธาตุขันธ์อันนี้เป็นแต่สมมติ....มันไม่ตาย  มันตายไม่เป็น  ธาตุทั้งหลาย  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  เป็นของมีอยู่นั้นเป็นธรรมดา  เป็นประจำอยู่อย่างนั้น  ไม่มีอะไรตายเลย  ส่วนผู้รู้ก็ไม่ตาย “ โยมเล่า  ความรู้เห็นตามภาวนาให้ฟังและกลับสงสัยว่า “ จะให้เอาอะไร  จะให้เอาผู้รู้นี่หรือ “

        เมื่อโยมมารดาถามเช่นนั้น  ข้าพเจ้าก็เลยตอบว่า

       “ พระพุทธเจ้าท่านสอน   เบื้องต้นให้กำหนดให้รู้ตามเป็นจริง  เมื่อรู้แล้วละวาง  ปล่อยสละ  สลัดตัดขาด  ถ้าเรารู้....ไปเอาความรู้  ก็ชื่อว่า  เราละไม่ได้  พระพุทธเจ้าท่านว่า  เมื่อเป็นผู้กำหนดรู้เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาแล้ว  ยาวะ  เทวะ  ญาณมัตตายะ  ญาณคือความรู้  ก็สักแต่ว่ารู้ ปติสสติ  มัตตายะ  สติ   ความอาศัยระลึกรู้  ก็สักแต่ว่าอาศัยระลึกรู้  เมื่อเธอเป็นผู้กำหนดรู้เห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริงแล้ว  อนิสสิโต  จะ  วิหระติ  เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย  นะจะ  กิญจิ  โลเก  อุปาทิยติ  ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ แม้แต่นิดหนึ่ง  น้อยหนึ่งมิได้มีอยู่ในโลก..... ดังนี้  คือ  โอวาทคำสั่งสอนตักเตือนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  คำว่า  “ ไม่ติดอยู่อยู่ “ คือ  ความรู้ก็ไม่ติด  คำว่า  “ ไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลก “  คือ  ความรู้ตามเป็นจริง – รู้โลกนั่นเอง  คือ  โลกวิทู....รู้แจ้งโลก   เมื่อรู้แจ้งโลกแล้วก็ละวาง  สละ  สลัด  ตัดขาดกันเท่านั้น

       เป็นการเตือนให้โยมมารดาไปพิจารณาเอง  พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้

        เมื่อโยมมารดาได้รับการตักเตือนอย่างนี้  ก็ไปภาวนาต่อไป  ภายหลังจึงมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า

        “ บัดนี้  โยมรู้แล้ว  คุณลูกจะไปที่ไหนก็ไปเถอะ  อย่าเป็นห่วงโยมเลย ....... “  

       นี่เป็นพรรษาที่  7  เป็นพรรษาที่ได้อยู่ร่วมและสงเคราะห์โยมมารดา

       ในระหว่างนั้น  โยมน้า  คือแม่ใหญ่  ซึ่งเป็นน้องสาวของโยมมารดา  เกิดความสงสารข้าพเจ้า  เลยบอกพวกลูกหลาน  ให้ไปนิมนต์ข้าพเจ้าให้ลาสิกขาบทเสียท่านอ้างว่ากูสงสารหลานกู  หลานกูมันทุกข์มันยาก  ไปนอนอยู่ป่าอยู่ดง  มันหิวข้าวหิวน้ำ ไม่มีเงินใช้สอย  ทุกข์ระกำลำบากมาก  ไม่มีลูกไม่มีเมีย  เสียหน่อเสียแนว ( เสียวงศ์เสียตระกูล )  ลูกหลานก็เลยเห็นพ้องด้วย  จึงพากันแต่งขันมานิมนต์ข้าพเจ้าให้ลาสิกขาในพรรษาที่  7  นั้น

       ข้าพเจ้าเห็นพวกนี้พากันถือขันมาเป็นกลุ่มใหญ่ไม่ทราบเรื่องจึงถามว่า  จะมานิมนต์ไปไหน  เขาตอบว่า

       แม่ใหญ่  บอกให้พวกผมมานิมนต์อาจารย์สึก

        สึกเพราะเหตุใด .....ข้าพเจ้าถาม  

       สึกเพราะแม่ใหญ่สงสาร  ลูกหลานมันทุกข์ยากนอนป่านอนดง  ไม่ไดลูกไม่ได้เมีย  ไม่ได้เงิน  ไม่ได้ทอง ฯลฯ  จึงขอนิมนต์อาจารย์สึกไป  พวกผมมาตามคำสั่งของแม่ใหญ่

       ข้าพเจ้าจึงบอกว่า  “ เออ...ดีละ แม่ใหญ่สงสารอย่างนั้นก็ดีแล้ว ....... แล้วพวกลูกหลานล่ะสงสารไหม

        เขาถามก็บอกว่า   “ สงสารครับ “

       ข้าพเจ้าก็ว่า  “ ดี...งั้นอาตมาจะพูดให้ฟัง  ตอนบวชอาตมามีศรัทธา  กองบวชหามาเอง  สะสมมาเองไม่มีใครรู้พวกญาติพี่น้องไม่ได้เกี่ยวข้อง  ส่วนการสึกพวกญาติพี่น้องอยากให้สึก  จึงควรต้องแต่งกองสึกมาให้ครบ  กองสึกถ้าไม่ครบ  สึกออกไปจะเป็นบ้า  จะรับรองหาได้ไหม  เขาก็ว่า  “  รับรองได้  ให้บอกมาว่า  จะเอาอะไรเป็นกองสึกบ้าง “  

       ข้าพเจ้าว่า  ก่อนจะพูดต่อไปอีกถึงกองสึก  ขอถามมติดูก่อนว่า  ในบรรดาผู้ที่มานี้ฝ่ายที่อยากให้สึก  หรือฝ่ายที่อยากให้อยู่  ฝ่ายใดจะมีเสียงข้างมาก  ฝ่ายใดจะมีเสียงข้างน้อย  ให้ลองออกเสียงดูก่อน  รู้ผลมติแล้วจึงค่อยพิจารณากันต่อไป  แล้วก็ประกาศดัง ๆ  ว่า  ใครอยากให้สึก....ปรากฏพวกอยากให้สึกมีมาก  ใครอยากให้อยู่มีน้อยมีเพียง  5  คนเท่านั้น

       เมื่อเป็นเช่นนั้น  จึ่งแต่งเครื่องสึกให้เขาบอกว่าถ้าต้องการให้สึก  ก็ต้องหาเครื่องสึกดังนี้คือ

1.เครื่องแต่งตัวครบชุด  เสื้อนอก...เสื้อในกางเกงนอก – กางเกงใน  หมวก  สร้อย  แหวน  นาฬิกา  รองเท้า – เขาก็ว่าได้

2.การซักรีดเสื้อผ้า  ใครจะรับอาสาทำให้ ....เขาก็ว่าตกลงทำได้

3.รถจักรยานยนตร์  1 คัน  เขาตอบว่าได้

4.เมื่อสึกแล้ว  ตามวิสัยฆราวาส  ก็ต้องมีลูกเมียจะหาให้ได้ไหม  น้าคนหนึ่งตอบว่า  ได้  เรื่องนี้ผมรับรองผมมีลูกสาวคนหนึ่งอายุ  16  ปีพอดี  ยินดีจะยกให้เลย  ไม่ต้องเสียสินสอดทองหมั่นอย่างใดทั้งสิ้น

5.รถยนต์ฟอร์ด  1  คัน  เขาถามว่าราคาเท่าไร   ตอบว่าอย่างต่ำก็ราคา  60,000  บาท  อย่างสูง  100,000  บาท   ( ซึ่งเป็นราคาขณะนั้น ) เขาก็ชักพูดไม่ออก  กระอ้อมกระแอ้มเสียแล้ว

6.ให้ปลูกบ้านเป็นปราสาท  ลอยอยู่ในอากาศไม่มีเสา  นึกอยากจะไปไหนมาไหน  ก็ให้ลอยไปได้ตามใจนึก  อย่างนี้  ......  หาให้ได้ไหม  เขาก็ตอบว่า  ไม่ได้หรอกหาให้ไม่ได้

7.หายาป้องกัน  การเจ็บ  การแก่  การตาย  ได้ไหมเพื่อว่าสึกแล้วจะไม่ต้องมีการแก่  ไม่มีการเจ็บ  ไม่มีการตาย  มีอายุยืนยงคงทน  ร่างกายหนุ่มแน่นเป็นหนุ่มอยู่เสมอ... ได้ไหม   เขาว่าไม่ได้หรอก


       ข้าพเจ้าจึงว่า  เมื่อหาเครื่องสึกตามที่ประกาศไปนี้ไม่ได้ครบทุกข้อ ก็สึกไม่ได้  เครื่องสึกไม่ครบ  ขืนสึกออกไปจะเป็นบ้าตาย  

       การนิมนต์ลาสิกขาบทของข้าพเจ้า  ก็เป็นอันยุติเลิกกันไปเพียงแค่นี้

       เมื่อออกพรรษาแล้ว  ข้าพเจ้าก็รีบเดินทางจะมานมัสการท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น  เพราะจำคำที่ท่านกำชับไว้ได้ดี  ว่าเร่งกลับไปหาท่าน  ประเดี๋ยวจะไม่ทันท่าน  ท่านได้ประกาศปลงอายุไว้แล้วในปีอายุ  80 ซึ่งก็เป็นปีนี้พอดี  พอเดินทางมาถึงดงมะอี่  หยุดวิเวกชั่วคราว  เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งสัปปายะในการวิเวกพอดีญาติพี่น้องมาส่งข่าวจากทางบ้านว่า  โยมมารดาและพี่ชายเจ็บหนัก  พ้องกันทั้งสองคน  ในลงไปเยี่ยมข้าพเจ้าจึงต้องเดินทางกลับไปพยาบาลโยมมารดาและพี่ชาย   ซึ่งเผอิญมาป่วยหนักลงในขณะนั้น  พยาบาลอยู่ได้  1  เดือน  พี่ชายก็ถึงแก่กรรม  และต่อมาโยมมารดาก็เสียชีวิตไปอีกคนหนึ่งรวมเป็น  2  ศพ  ข้าพเจ้าก็เลยต้องทำฌาปนกิจท่านทั้งสองต่อไป

       สำหรับเรื่องโยมมารดาของข้าพเจ้านี้  คิดว่าควรจะเล่าให้ละเอียดสักหน่อย  เพื่อเป็นเกียรติประวัติของหญิงชนบทคนหนึ่ง  โยมมารดาข้าพเจ้าเป็นหญิงชาวบ้าน  ไม่ได้รับการศึกษา  ไม่รู้หนังสือ  เพราะคนโบราณสมัยนั้นในจังหวัดชนบทห่างไกล  ไม่ได้เข้าโรงเรียนแต่อย่างใด  แต่ก่อนท่านเป็นคนถือผีไท้ผีฟ้าด้วยซ้ำเพราะป่วยเป็นโรคตา  เจ็บตาก็เอาหมอผีมารักษา  ในบ้านมีศาลบูชาผีอยู่ด้วย  มารดาตกแต่งดอกไม้มาบูชาเป็นประจำทุกวันด้วยความเลื่อมใส

       เวลานั้นข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก  จำได้ว่ากำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่  5  มีความคิดว่า  ผีหรือเทวดานี่แหละเป็นตัวทำให้มารดาตาเจ็บ  อย่ากระนั้นเลย  เราต้องปราบผีนี้เสีย วิธีปราบผีของเด็กชายจวนสมัยนั้นก็คือกลับจากโรงเรียนวันหนึ่ง  ก็เอาค้อนมาทุบศาลผีหรือเทวดา – ที่มารดาเรียก – แตกกระจาย  มารดากลับมาบ้านตอนเย็น  เห็นเข้าก็ตกใจว่าลูกมาทำอย่างนั้น  ทำผิดต่อผี  ต่อเทวดาเช่นนั้น  นัยน์ตาคงจะแตกตายแน่  ข้าพเจ้าก็ว่าไม่เป็นไรหรอก  ไม่แตกดอก  ลูกปราบผีให้แล้วมารดาจะแต่งศาลที่บูชาขึ้นใหม่  ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมว่าแต่งไม่ได้ บ้านนั้นเขามีไว้ให้คนอยู่  ไม่ใช่ให้ผีอยู่  มารดาว่า  ถ้างั้นจะเอาไปไว้ที่ไหน  ข้าพเจ้าก็ว่า  ไว้ที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่บนบ้านนี้   ที่ป่าไผ่ก็ได้    สุดท้ายมารดาก็เอาศาลไปแขวนไว้ที่ป่าไผ่  นอกบ้าน

       ข้าพเจ้าจึงคิดหาอุบายที่จะทรมานมารดาให้เลิกนับถือผี  จึงไปหาซื้อหนังสือ  “ หลานสอนปู่ “ มาอ่านให้มารดาฟัง  หนังสือ  “ หลานสอนปู่ “  นี้เป็นหนังสือที่คนโบราณแต่งไว้เป็นคติสอนใจ  ทางอีสานรู้จักกันดีเป็นหนังสือคู่กันกับหนังสือ “ ปู่สอนหลาน “   มีเนื้อความที่เป็นสาระโดยย่อเท่าที่ข้าพเจ้าจำได้  ก็คือ

       หลานซึ่งเป็นเด็กเล็ก  พยายามจะสอนให้ปู่รู้จักเข้าวัดเข้าวา  ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ  ให้รู้จักสร้างสมทางกุศลตักบาตร  ทำบุญให้รู้จักการภาวนาบอกว่า  ถ้าปู่ไม่รู้จักเข้าวัดฟังธรรม  เด็กน้อยก็จะไม่นับถือยำเกรง

       ข้าพเจ้าแกล้งอ่านไปเรื่อย ๆ ระยะแรก  มารดาก็ไม่ฟัง  เอ็ดตะโรว่าหนวกหู  แต่ข้าพเจ้าก็ทำไม่รู้ไม่ชี้อ่านไป ....อ่านไป  โดยเฉพาะเวลามารดาอยู่บ้านจะฟังหรือไม่ฟังก็ตามใจมารดา  เรามีหน้าที่อ่าน  ก็อ่านเสียงแจ้ว ๆ ไป  กระทั่งภายหลังวันไหนไม่อ่าน  มารดาก็จะถามหา  แสดงว่าธรรมะของ  “ หลานสอนปู่ “  ได้ซึมซาบเข้าไปสู่จิตใจมารดาแล้วเป็นลำดับ  และต่อมาหลังจากนั้นมารดาก็เลยเลิกนับถือผีไท้  ผีฟ้า  กลับเข้าวัดเข้าวาฟังเทศน์  ถือศีลเป็นอันดี

       นับว่าอุบาย  “ หลานสอนปู่ “  ของเด็กชายจวนในครั้งกระโน้น  ได้ผลเป็นอย่างดียิ่ง

       เมื่อโยมมารดาบวชเป็นชีครั้งนี้  อายุได้  75 -  76 ปีแล้ว  ท่านพระอาจารย์มั่นท่านคงจะพิจารณารู้การณ์ข้างหน้า  ท่านจึงแต่งให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษากับมารดาท่านว่า  “ ท่านจวนเอามารดามาบวชแล้ว......ไม่ได้ ต้องไปอบรมสั่งสอนผู้เฒ่านะ “ แล้วท่านก็แนะนำวิธีให้ว่า “ อบรมผู้เฒ่านั้น  อย่าไปอบรมมาก ๆ  ลึกซึ่งอะไร  ผู้เฒ่าจำไม่ได้หรอก   เอาแต่สั้น ๆ พอให้ทำได้แล้ว  จึงค่อยแนะขั้นต่อไปเป็นลำดับ  ท่านบอกอุบายให้แล้วก็เตือนข้าพเจ้า  ออกพรรษาแล้ว  ให้รีบไปหาท่าน  เพราะประเดี๋ยวจะไม่ทันท่าน..ดังที่ข้าพเจ้าเคยเล่าไว้แล้ว

       เมื่อมาจำพรรษากับโยมมารดาข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติแนะนำท่านตามที่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านแนะวิธีมา  โดยเริ่มสอนให้ท่องเพียง  “ พุทโธ “  ให้มีสติกำกับใจอยู่กับพุทโธ  อยู่กับอารมณ์พุทโธ  ให้พุทโธอยู่กับใจ  อย่าพลั้งเผลอ  อย่าขาดจากกัน

       บอกเพียงแค่นั้น  โยมก็ไปปฏิบัติและมาบอกผลของการภาวนาเป็นลำดับ ๆ และข้าพเจ้าก็แนะนำต่อไปเป็นลำดับ ๆ เช่นกัน  โดยเฉพาะเรื่องการพิจารณากาย  กระทั่งวันหนึ่งโยมมารดาก็เล่าว่าท่านพิจารณากาย  จนเห็นชัดและมันเปื่อย  ผุพังลงไป  แม่นแล้วมันไม่ใช่ของเราจริง ๆ เห็นหมดเลยทุกส่วน  ยังเหลือแต่ลำไส้อยู่ส่วนเดียวในกาย  ยังมืดตื้ออยู่  เห็นไม่ชัด  ละลายยังไม่ได้

       ข้าพเจ้าก็ว่า  ให้ละลายมันให้ได้  ทำให้ได้  ภาวนาให้มันได้ซีโยม

       โยมมารดาก็ภาวนาต่อไป  สุดท้ายพอจะออกพรรษาท่านก็ออกอุทานว่า   “ โอย  คุณลูกโยมรู้แล้ว  รู้จักทางแล้ว  คุณลูกจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่าเป็นห่วงโยมเลย  มันบ่มีผู้ตายหรอก  จิตมันก็ตายไม่เป็นหรอก  มันละใสบริสุทธิ์มีแต่ผู้รู้  ไม่มีผู้ตาย  ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรานะ  เป็น  ดินน้ำ  ลมไฟ  นะคุณลูก

        เมื่อข้าพเจ้ากลับมาพยาบาลท่าน  ตอนโยมมารดาเจ็บหนักนี้  ท่านก็บอกว่า  ท่านจะอยู่ไม่ได้นาน   อีกสามวันก็จะไปละ  เพราะมารดาเกิดวันพฤหัสบดี  จะตายวันนั้น  โยมมารดาบอกวันตายด้วย  แล้วก็บอกเวลาอีก   ว่าเวลาตีหนึ่ง  จะลาละ  อย่ารีบไปไหน

      พอถึงวันพฤหัสบดี  ลูกหลานทุกคนก็มาเฝ้ากันหมดพร้อมหน้า   ข้าพเจ้าก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ คอยเฝ้าผู้เฒ่าอยู่ถามโยมมารดาว่า  มีห่วง  มีอะไรสงสัยไหม

       ท่านก็ว่า  มีอยู่อย่างหนึ่ง  ท่านสงสัยเรื่องกรรมคือท่านเอาหมากถั่ว ( ถั่วฝักยาว ) ที่ไร่ของหลาน  ไร่นั้นเขาทิ้งร้างแล้ว  โยมเก็บมาประกอบเป็นอาหารถวายพระ  กลัวว่าการกระทำนี้จะเป็นบาปเป็นกรรมเพราะไม่ได้บอกหลานเขา  ข้าพเจ้าก็เลยบอกโยมมารดาว่าไม่เป็นไรหรอก  เป็นไร่ของหลานเราเอง  และไร่นั้นเขาก็ทิ้งร้างแล้ว

       ท่านบอกว่า  ท่านมีสงสัยเพียงแค่นั้น  พอถึงเวลาตีหนึ่ง  ท่านก็ดับไปจริง ๆ โดยหลับตา  สิ้นลมไปอย่างสบาย  สงบที่สุด

       เมื่อมีโอกาสที่จำพรรษากับหลวงปู่ขาว  อนาลโยในภายหลัง  ข้าพเจ้าได้กราบเรียนเล่าเรื่องการภาวนาของโยมมารดาถวายให้หลวงปู่ขาวฟังท่านพิจารณาอยู่  3  วัน  แล้วก็เล่าให้ข้าพจ้าฟัง

       โอ....โยมมารดาของท่านไปสูงเลย  ไปถึงสุทธาวาส  พรหมโลก  ได้สำเร็จอนาคามีทีเดียว

       หลวงปู่ขาวว่าอย่างนั้น  ข้าพเจ้าก็สาธุ  อนุโมทนาด้วยโยม  ส่วนเรื่องผู้รู้ – ตายไม่ตายนั้น  ฟังแล้ว โปรดพิจารณากันเอาเอง

       ขอย้อนกลับมาเล่าเรื่องประวัติต่อไป

       เมื่อเสร็จงานศพโยมมารดาและพี่ชายแล้ว  ข้าพเจ้าก็รีบเดินทางไปวัดป่าบ้านหนองผือ  เพื่อกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น  ด้วยความห่วงใยท่าน และขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกเต็มตื้นไปด้วยความขอบพระคุณท่าน  ถ้าท่านไม่จัดให้ข้าพเจ้ากลับไปจำพรรษา  อยู่โปรดโยมมารดาในปีนี้ก็คงไม่มีโอกาสทำหน้าที่บุตรที่ดีสนองคุณท่าน

       โบราณท่านว่าไว้   ถ้าบุคคลใด  ได้ช่วยบิดามารดาให้เลิกละมิจฉาทิฏฐิ  คือความคิดเห็นอันไม่ถูกต้องนับถือผีเจ้าเข้าทรง  กลับมามีสัมมาทิฏฐิ  รู้จักการอันเป็นบาปบุญคุณโทษ  รู้จักเข้าวัดเข้าวา   รักษาศีลภาวนาก็นับว่าได้ทำหน้าที่บุตรที่ดีตอบแทนคุณบิดามารดาอยู่แล้ว  ถ้ายิ่งได้อนุเคราะห์แนะนำชี้ช่องทางด้วยความเต็มสติปัญญาความสามารถของบุตรให้ท่านบำเพ็ญเพียรภาวนา  จนละกิเลสเห็นแจ้งในสัจจธรรมคำสอนของพระพุทธองค์  สามารถละกิเลส  อาสวะ  ที่หมักดองอยู่ในจิตใจ  ได้ตามชั้นตามภูมิแห่งจิตและนิสัยวาสนาของท่านแล้ว  ก็ยิ่งนับว่าได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตคุณ  ตอบแทนท่านตามควรแก่หน้าที่บุตรธิดาแล้ว

       บุคคลนั้นสมควรภูมิใจในความเป็นบุตรที่ดีของตนได้

        เมื่อเสร็จงานฌาปนกิจมารดาและพี่ชายแล้ว  ข้าพเจ้าก็รีบเดินทางไปวัดป่าบ้านหนองผือ  แต่ก็ไม่ทันเห็นใจท่านพระอาจารย์มั่น  ปรากฏว่าท่านได้มรภาพเสียก่อนแล้ว  ได้ทันแต่ไปช่วยงานถวายพระเพลิงศพของท่านที่วัดป่าสุทธาวาส  จังหวัดสกลนครเท่านั้น  เพราะเมื่อท่านเจ็บหนัก  ท่านได้ให้คณะลูกศิษย์พาท่านเคลื่อนย้ายจากวัดป่าบ้านหนองผือ  มาวัดป่าสุทธาวาส  โดยท่านเกรงว่า  ถ้าท่านมรณภาพที่บ้านหนองผือ  อันเป็นตำบลเล็กแล้ว  ศิษย์และประชาชนเป็นจำนวนมากก็จะหลั่งไหลกันไปคารวะศพท่าน  อาหารการกินคงจะลำบาก  อาจจะต้องมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต   เอามาเป็นอาหารเลี้ยงผู้คน  ทำให้ชีวิตสัตว์จะต้องลำบากเนื่องด้วยท่านอีกมากมายมหาศาล  ส่วนวัดป่าสุทธาวาสนั้นอยู่ใกล้ตัวจังหวัด  ( ขณะนั้นยังถือว่าเป็นบริเวณชายเมืองอยู่ ) พอมีตลาดร้ายค้าหาเนื้อหมู  เนื้อไก่ที่เขาขายมาทำอาหารบริโภคได้



        ข้าพเจ้าได้ช่วยงานศพท่านพระอาจารย์ใหญ่อยู่เป็นเวลาเดือนเศษจึงเสร็จงาน  หลังจากการถวายพระเพลิงแล้ว  ได้ปรึกษากับท่านอาจารย์วัน  อุตฺตโมหรือ  ท่านเจ้าคุณอุดมสังวรวิสุทธิเถระ  แห่งวัดถ้ำอภัยดำรงธรรมในสมัยปัจจุบัน  ปรึกษากันว่า  เราหมดพ่อแม่ครูบาอาจารย์อันเป็นหลักชัยแล้ว  ต่อไปเราควรจะไปเที่ยวภาคใต้หรือ  ปักษ์ใต้ด้วยกันเพราะขณะนั้นท่านพระอาจารย์เทสก์  เทสรังสี  หรือท่านเจ้าคุณนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์แห่งวัดหินหมากเป้งในเวลาต่อมา  ท่านจะไปประกาศศาสนาที่แถวจังหวัดภูเก็ต  พังงา  จึงคิดว่าจะตามท่านไป  และขอรับการอบรมจากท่าน  ด้วยท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่ได้รับการยกย่องจากท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นมาก  ระหว่างข้าพเจ้าเป็นพระน้อยพรรษา  3  พรรษา  4  ได้ยินท่านพระอาจารย์ใหญ่  กล่าวถึงท่านพระอาจารย์เทสก์ด้วยความนิยมยกย่อง  และบางโอกาสก็ประกาศพยากรณ์ภูมิจิตของท่านไว้อย่างสูงมากด้วย  

       ข้าพเจ้าแต่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เตรียมจะไปกับท่านอาจารย์วันอยู่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่มาหักเหทำให้ข้าพเจ้าต้องเปลี่ยนความตั้งใจ  

หลวงปู่ขาว อนาลโย


       กล่าวคือ  ท่านพระอาจารย์ขาว  หรือ  หลวงปู่ขาว  อนาลโย  แห่งวัดถ้ำกลองเพลในปัจจุบัน  ซึ่งมาในงานฌาปนกิจศพของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น  ทราบจากเพื่อนภิกษุอื่น ๆ  ว่า  พระครูบาจวนหรือข้าพเจ้าก็มาในงานนี้เช่นเดียวกัน  ท่านก็เลยให้คนไปเรียกข้าพเจ้าให้ไปหา  ความจริงก่อนหน้านั้นข้าพเจ้ายังไม่เคยได้พบได้เห็น  ได้กราบนมัสการท่านเลย  และท่านหลวงปู่ก็ไม่เคยเห็นหรือรู้จักตัวข้าพเจ้ามาก่อนเหมือนกัน  แต่ท่านก็ได้ให้ความเมตตาข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  

       หลังจากที่สนทนาปราศรัยกันพอสมควรแล้ว  ท่านก็ไต่ถามข้าพเจ้าว่า

         “  เมื่อเสร็จงานศพแล้ว  จะไปไหนต่อไป “  
       
         ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า  “  กระผมจะไปเที่ยวปักษ์ใต้จังหวัดภูเก็ตตามท่านอาจารย์เทสก์ไปขอรับ "

         ท่านห้ามว่า  “  อย่าไปเลย  ให้ไปอยู่กับผมที่ถ้ำเป็ดเถอะ"

         ข้าพเจ้าค้านท่านว่า  “ ผมจะไปปักษ์ใต้ครับ  ผมนัดกับท่านวันไว้แล้ว “

         ท่านก็ยืนยันไม่ให้ไป ไม่ว่าข้าพเจ้าจะกราบเรียนบ่ายเบี่ยงเช่นไรท่านก็ไม่ให้ไปท่าเดียว  ผลที่สุดท่านคงเห็นว่า ข้าพเจ้าหัวดื้อ  ต้องการจะไปปักษ์ใต้กับท่านอาจาย์วันตามไปอยู่ด้วยท่านพระอาจารย์วันตามไปอยู่ด้วยท่านพระอาจารย์เทสก์จริง ๆ พูดเท่าไรคงไม่ฟัง  ท่านจึงต้องยอมขยายความนัย

       ท่านกรุณาเล่าให้ฟังว่า

       “ เวลาผมมาจากจังหวัดเชียงใหม่  แล้วเข้าไปนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น  ท่านพระอาจารย์มั่นถามผมว่าท่านขาวรู้จักท่านจวนไหม  ผมก็เรียนท่านว่าไม่รู้จักท่านก็ว่า  ท่านจวนคนอำเภออำนาจเจริญ  จังหวัดอุบล ฯ อำเภอเดียวกับท่านขาวนะ  ท่านจวนมาอยู่กับผมนี้  ต่อไปขอฝากท่านจวนด้วย  ขอให้ท่านช่วยกำกับดูแลรักษาท่านจวนด้วย  รักษาท่านจวนเน้อ  อย่าปล่อยไปให้รักษากัน.....  หลวงปู่บอก  “ ท่านอาจารย์มั่นสั่งกำชับผมไว้แล้ว  ไม่ให้ท่านไปไหน  ให้ท่านอยู่กับผม  เมื่อผมมาพบท่านแล้ว  จึงไม่อยากให้ท่านไปที่อื่น  ให้ท่านอยู่กับผมเพราะท่านอาจารย์มั่นสั่งอย่างนั้น

       ระหว่างที่ข้าพเจ้านิ่งงง  ด้วยไม่ทราบว่า  ท่านผู้ใหญ่ฝากฝังกันไว้เสร็จแล้ว  หลวงปู่ขาวก็อธิบายต่อไป

       “ ผมรับคำท่านอาจารย์มั่นแล้ว  ถ้าปล่อยให้ท่านไปไหนก็เหมือนผมไม่เคารพท่านอาจารย์มั่น  และท่านจวนเอง  ก็เหมือนไม่เคารพท่านอาจารย์ใหญ่อีก “

       เมื่อท่านบอกกล่าวถึงอย่างนี้ข้าพเจ้าก็ใจอ่อนยวบลงเลยรับคำท่านว่า  จะไม่ไปไหน  แต่จะอยู่กับหลวงปู่ขาว  ด้วยความเคารพในโอวาทของท่านพระอาจารย์มั่นที่สั่งการไว้

       หลวงปู่ขาวก็เลยรับรองทุกสิ่งทุกอย่าง  ค่ารถ  ค่าเรือ  ท่านออกให้ข้าพเจ้าหมด  แล้วข้าพเจ้าก็ตามท่านไปอยู่ที่ถ้ำเป็ด  อ.ส่องดาว  จังหวัดสกลนคร