พรรษาที่ 1 พ.ศ. 2486
วัดป่าบ้านพอก หนองคอนทั้ง
อำเภอเลิงนกทา
เมื่อจะเริ่มเข้าพรรษา ปรากฏว่า ที่วัดพระอาจารย์บัง ที่อำเภอเลิงนกทาไม่มีพระสวดปาฏิโมกข์ได้ ก็เลยมาขอตัวจากท่านอาจารย์พระอุปัชฌาย์ ท่านอาจารย์พระอุปัชฌาย์จึงให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่า บ้านพอก หนองคอนทั้ง อำเภอเลิงนกทา
ในพรรษาแรกนี้ โยมมารดาได้มาบวชเป็นชีอยู่ด้วย นอกจากกระทำความเพียรอย่างหนัก โดยเร่งเดินจงกรมมาก นั่งมาก แล้วยังอธิษฐานฉันเจอีกด้วยคือไม่ฉันเนื้อสัตว์ ฉันแต่ผัก น้ำตาล ส่วนอาหารคาวหวานที่บิณฑบาตรได้มา ถ้าเป็นอาหารเนื้อก็ส่งให้โยมมารดา บางครั้งบางสมัย ก็อดข้าว อดอาหาร ทั้งอดหลับอดนอนด้วย ระยะ 4 คืน 4 วัน บ้าง ระยะ 8 คืน 8 วันบ้าง แต่การบิณฑบาตรคงกระทำตลอดมิไดขาด เพื่อบิณฑบาตรมาเลี้ยงโยมมารดา เป็นการสนองคุณท่าน ทั้งยังเพื่อแจกจ่ายแก่เพื่อนสหพรหมจรรย์ภิกษุสามเณรองค์อื่น ๆ ด้วย ส่วนตัวเองเลือกฉันแต่อาหารเจ
ในระหว่างพรรษานั้น วันพระคืนหนึ่งขณะนังฟังเทศน์ท่านอาจารย์อยู่ ข้าพเจ้าพระจวนบวชใหม่ ได้กำหนดจิตฟังไปตามคำเทศนา จิตเกิดสงบลง ปรากฎภาพร่างกายของตนนี้ เกิดขึ้นในจิต เน่าเปื่อยเป็นอสุภะไปหมด เหมือนมองดูด้วยตาเนื้อ เห็นขาทั้งสองของตัวเอง เปื่อยเน่าขาดเหวอะหวะมีบุพโพโลหิต น้ำเหลืองไหลออก เป็นอสุภะให้ข้าพเจ้าได้ยกขึ้นมาพิจารณาในเวลาต่อมาเรื่อย ๆ ได้เจริญภาวนาราวกับมองเห็นด้วยตากเปล่า ๆ
ในพรรษานี้ นอกจากนิมิตอสุภะดังกล่าวแล้วข้าพเจ้าเร่ทำความเพียรอย่างไม่ย่อหย่อน ได้เกิดภาพนิมิตแปลก ๆ วันหนึ่งในตอนกลางพรรษาขณะภาวนาพุทโธ – พุทโธอยู่ จิตได้รวมลง ปรากฏใสบริสุทธิ์หมดจดรู้สึกมีความสุขสบายจนไม่มีสิ่งใดจะประมาณเปรียบเทียบได้ แต่ก่อนหน้าจิตจะรวม ได้เกิดภาพนิมิตขึ้นว่า มีแม่ไก่สีลายตัวหนึ่งมาจิกกินอุจจาระอยู่ที่ตรงหน้า ข้าพเจ้าจึงได้กำหนดจิตถามว่า “ จิกกินอะไร ? แม่ไก่ตอบว่า “ จิกกินอุจจาระ “ แล้วถามแม่ไก่ต่อไปว่า “ ท่านเป็นใคร “ แม่ไก่ตอบว่า “ ดูก่อนพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นเทวดา “ แล้วถามต่อไปว่า “ เทวดาทำไมกินอุจจาระเล่า “ แม่ไก่เลยตอบว่า “ ดูก่อนพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์เราทุกชาติทุกภาษา ต้องกินอุจจาระคือกินขี้กันอย่างนี้แหละ ทุกคนในโลกไม่พ้นจากความกินอุจจาระไปได้เลย “
ตอบแล้วแม่ไก่ก็หายไป ข้าพเจ้าจึงน้อมเอานิมิตคำตอบของแม่ไก่ขึ้นมาพิจารณาคิดเอาว่า มนุษย์เรานี้ก็ต้องกินอุจจาระกันทั้งหมดเลย แล้วก็มาพิจารณาว่าเรากินอุจจาระจริงไหม ที่เรากินข้าวปลาอาหารนั้น..... ข้าวจะเป็นขี้อย่างไร เนื้อ ปลาจะเป็นขี้อย่างไร ผักจะเป็นขี้อย่างไร พิจารณาไปก็เห็นว่า อ้อ..... ข้าวก็เกิดจากขี้ดิน ทั้งปลาทั้งเนื้อ พืชผักที่เราบริโภคขบฉันนี้ ล้วนแต่เรากินขี้ทั้งหมด ทั้งหมดเกิดจากขี้ดินทั้งสิ้นข้าพเจ้าก็เลยเกิดสลดสังเวชอย่างยิ่งในพรรษานั้น ว่าเรานี้กินอุจจาระคือกินขี้เหมือนกัน
เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้เคยนำคำถามนี้ไปถามท่านอาจารย์ใหญ่ เมื่อได้มีโอกาสมาอยู่กับท่านในภายหลัง ท่านก็ตอบว่า จริง ๆ จริง ไม่มีผิดเลย เรากินขี้กันทั้งหมดทั้งนั้น.... ท่านรับรองเช่นนั้น
ครั้นรุ่งเช้าพอทำภัตตากิจคือฉันเสร็จ ก่อนจะกลับขึ้นไปยังกุฏิ ข้าพเจ้ากำลังนั่งเก็บเครื่องบริขารพับซ้อนให้เรียบร้อย มองขึ้นไปบนหน้าจั่วทางทิศตะวันออกของกุฏิ ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าจั่วนุ่งห่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีลายเหมือนแม่ไก่ได้เคยปรากฏในนิมิตแล้วไว้ผมยาว ยืนถือตะกร้าหมากอยู่บนหน้าจั่วกุฏิมองมาที่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามองดูก็เห็นว่าเป็นหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามมาก และก็นึกในใจว่า ภาพที่ปรากฏเป็นอะไรแน่ ก็ได้คำตอบว่าภาพนั้นเป็นเทวดา ข้าพเจ้าก็นึกว่า เอ....เทวดา ทำไมมายืนอยู่ที่นี่ แต่นึกแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ เก็บเครื่องบริขารเรื่อยไป
ครั้งที่สอง ตาเหลือบขึ้นไปก็ยังเห็นภาพเทวดาอยู่ที่เก่า ยังไม่หายไปไหน ข้าพเจ้าจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พร้อมกับคิดว่า เอ....ทำไมเทวดาตนนี้จึงยังปรากฏให้เห็นอยู่อีก แล้วก็ตั้งใจเก็บสิ่งของเครื่องบริขารของตนให้เรียบร้อย ตั้งใจระวังรักษาจิตมิให้ ฟุ้งซ่าน เพราะรู้อยู่ว่า อันความงามนั้น มักมีสิ่งที่ไม่งามซ่อนอยู่เบื้องหลังเสมอ
ครั้งที่สาม มองดูใหม่เพื่อทดสอบว่า รูปที่เห็นด้วยตานั้นจะยังเห็นอยู่หรือหายไป ก็ปรากฏว่ารูปนั้นได้อันตรายธานหายไปเสียแล้ว ในขณะนั้นจิตก็ระลึกขึ้นมาในใจว่า อ๋อ อย่างนี้หนอ พวกภาวนา เห็นภาพนิมิตต่าง ๆ ที่ปรากฏในขณะที่ตนภาวนานั้น คือเห็นรูปภาพที่มาปรากฏนั่นเอง เข้าใจเอาว่าตนได้ญาณ คือ ได้หูทิพย์ ตาทิพย์ และได้ล่วงรู้จิตใจของบุคคลอื่น พวกนี้ เมื่อได้เห็นภาพนิมิตอย่างนี้ ก็น้อมใจเชื่อในภาพนิมิตที่ปรากฏขึ้นว่าตนได้บรรลุธรรมวิเศษ มีมรรคผล เป็นต้น เลยเกิดทิฏฐิมานะอวดดิบอวดดีผลที่สุดพวกนี้ก็เลยเสื่อมไป ไม่ได้รับประโยชน์ อันแท้จริงในธรรมะ เรื่องนี้เคยปรากฏแก่พวกนักภาวนานักปฏิบัติมาเป็นหลายราย ๆ แล้ว มีความปรากฏเกิดขึ้นในใจขณะนั้น
ในพรรษาที่ 1 นั้น ข้าพเจ้าก็ได้ทำความพาก ความเพียรโดยขะมักเขม้นอย่างเต็มกำลัง มีการรอดหลับอดนอน อดอาหาร สลับด้วยกันไปตลอดพรรษา ส่วนด้านจิตใจก็มีความฝักใฝ่ในการภาวนา ยังบริกรรมพุทโธ – พุทโธ อยู่เป็นพื้น บางครั้งก็มีการพิจารณาร่างกายของตนเองที่เคยปรากฏว่าเป็นอสุภะให้เห็นว่าเป็นของเน่า ให้เห็นแตกสลาย กลายลงเป็นดินในที่สุด
ขณะเดียวกัน ทางด้านสนองคุณมารดานอกจากบิณฑบาตหาของขบฉันเลี้ยงโยมมารดาซึ่งมาบวชเป็นชีด้วยแล้ว ข้าพเจ้าก็จัดแต่งทำทางจงกรมให้ท่านโดยจัดปูกระดานเลย เพื่อให้ท่านไม่ต้องเหยียบดินให้ ลำบากกายหรือเจ็บเท้า จะได้มีเวลาภาวนาจงกรมด้วยความสะดวกสบาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น