พรรษาที่ 15 – 16 พ.ศ. 2500 – 2501
กลับไปจำพรรษาที่ ดงหม้อทอง
พรรษาที่ 15 ข้าพเจ้าได้กลับมาจำพรรษาที่ดงหม้อทองอีก ร่วมกับพระอาจารย์สอน อุตฺตรปญฺโญ ได้พากันตั้งอธิษฐานไม่นอนอยู่ 2 เดือน ทำความเพียรกันอย่างเด็ดเดี่ยวบางวันก็พากันเอาปี๊บคว่ำกลางหลังพลาญหิน ซึ่งอยู่สูงกว่าพื้นดินประมาณ 15 เมตร แล้วก็เอาอาสนะปูทับบนกันปี๊บ ภาวนาตากฝนตลอดวันตลอดคืนก็มี ภาวนาจิตสงบดีปี๊บไม่ล้ม ไม่ง่วง
บางทีก็ไปนั่งริมหน้าผาชัน ตลอดคืน โดยไม่ง่วง ไม่สับประหงกแต่ประการใด ถ้าหากง่วงสัปหงกเพียงเล็กน้อย ก็คงจะตกจากหน้าผาลงข้างล่างแล้ว เป็นการพยายามสัปรยุทธชิงชัยเอาชนะกิเลสกันอย่างเต็มที่
ในพรรษา 15 นี้ ข้าพเจ้าเกิดอาพาธหนักเป็นไข้ป่าเอาหมอรักษาฉีดยา ยากับโรคปะทะกันทำให้เกิดอาเจียนขนานใหญ่ อาหารออกหมด หมดแรงแทบประดาตายแล้วเกิดธาตุวิปริต ตามืด ตามัว เวียนศีรษะคอนศีรษะแทบไม่ขึ้น พูดจาไม่รู้เรื่องภาษาเป็นอยู่ 9 วันจึงสงบ ข้าพเจ้าแก้โดยวิธีเอาปี๊บมา 2 ใบตั้งบนหลังพลาญหิน แล้วใช้กระดานปู 2 แผ่นวางบนปากปี๊บนั่งพิจารณาความตายท่านพระอาจารย์สอนและเณรหลาน เกรงว่าอาจจะพลาดพลั้งตกหน้าผาไปได้ ท่านก็ผลัดเวรกับเณรหลานมาคอยเฝ้าอยู่หลายคืน โรคข้าพเจ้าจึงหายขาด
ออกพรรษาแล้ว ต่างก็ทยอยกันหาที่วิเวกไปในที่ต่าง ๆ เฉพาะข้าพเจ้าก็กลับไปนมัสการหลวงปู่ขาวฟังเทศน์รับการอบรมจากท่านต่อไปตามเคย
เมื่อใกล้เข้าพรรษาที่ 16 ข้าพเจ้าก็ชวนท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต เจ้าอาวาสวัดถ้ำกลองเพลปัจจุบัน กลับมาจำพรรษาที่ดงหม้อทองอีก มีพระเณรจำพรรษาอยู่ 4 องค์ พากันปรารภความเพียร ห้ำหั่นกิเลสกันอย่างเต็มความสามารถแต่ละองค์ต่างก็พยายามสรรหาอุบายที่ถูกกับจริตนิสัยของตนมาพิฆาตฆ่าฟันกิเลสในใจให้สงบราบคาบลง
พระเณรต่างแยกย้ายกันทำความเพียรอย่างไม่เห็นแก่ชีวิต ให้กายวิเวก ให้วาจาวิเวก ให้จิตวิเวก ไม่เกี่ยวแก่กัน ไม่ข้องแวะกัน ไม่ก่อสร้างใด ๆ ทั้งหมด อากาศดี แม้สัตว์ป่าก็คุ้นเคยสนิทชิดเชื้อกับพระดีมาก ไม่เป็นข้าศึกแก่กันและกัน เสือ ช้าง เดินเข้ามาเยี่ยมกรายตามซอกภูผา แนวทางจงกรมของพระบ่อย ๆ พระเณรก็ถือว่านี่เป็นเขตวัด สัตว์ทั้งหลาย เขาก็คิดว่านี่เป็นเขตป่าต่างฝ่ายต่างอยู่ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนไป
บางวัน พระเณรก็จะภาวนาของท่านไป งูก็จะเลื้อยผ่านไปหากินตามทางของเขา ไม่กีดกันขัดขวางกันวันหนึ่งขณะที่พระออกไปบิณฑบาตร เห็นไก่ป่า 3 ตัวที่ข้างทาง ปกติวิสัยของไก่ป่านั้นจะมีความปราดเปรียวเกรงกลัวมนุษย์พอพบหน้ามนุษย์มันจะเป็นปร๋อหนีไปทันที แต่คราวนี้แม่ไก่ทั้งสามตัวพอเห็นหน้าพระมันก็พากันหยุดยืนนิ่งเจ้าตัวหัวหน้าส่งเสียงเป็นสัญญาณให้แก่กัน แล้วทุกตัวต่างก็ค้อมหัว ยอบตัวลงต่ำพร้อม ๆ กัน เหมือนกับจะแสดงอาการคาราวะพระภิกษุสงฆ์ฉะนั้น ดูแล้วก็ช่างน่ารัก น่าสงสารมันจริง ๆ มันนิ่งทำความคารวะอยู่เช่นนั้น จนพระเดินผ่านไป ชายจีวรข้าพเจ้าแทบจะเช็ดหัวมันแม่ไก่ทั้ง 3 ตัว ก็ก้มหัวนิ่งอยู่รอจนพระผ่านไปหมดแล้ว มันจึงออกคุ้ยเขี่ยหาอาหารต่อไป
ครั้นออกพรรษา ข้าพเจ้าและท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต ก็กลับไปหาหลวงปู่ขาว มาฟังเทศน์ฟังโอวาทจากท่านระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าก็กราบนมัสการลาท่านออกไปวิเวกทางดงศรีชมภูองค์เดียว โดยไปลงเรือที่จังหวัดหนองคาย ล่องแม่น้ำโขง มาขึ้นเรือที่อำเภอบึงกาฬแล้วเดินทางต่อมาไปถึงหมู่บ้านหนึ่ง ชื่อบ้านใหม่หนองดินดำ ก็ขอให้ญาติโยมพาไปสำรวจที่กลางดงศรีชมภู เขตอำเภอโพนพิสัย
พบสถานที่แห่งหนึ่ง มีลักษณะคล้าย ๆ กับซากเมืองเก่า มีลานหินยาวคล้ายกับถนนคอนกรีตเป็นระยะนับเป็นสิบกิโลเมตร บางแห่งก็เป็นทรงกลมคล้ายกับสนามม้าในกรุงเทพ บางแห่งก็เป็นคล้าย ๆ กับปราสาทราชวังสูงหลายชั้นหักพังลงมากองทับถมกันอยู่เป็นโขดหินเป็นหินผา และพลาญหินอันกว้างใหญ่มีโตรถ้ำ เหวลึกมากมาย ชาวบ้านเรียกกันว่าถ้ำจันทน์ เพราะบริเวณแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นจันทน์นานาพันธุ์ ขนาดต่าง ๆ แน่นไปหมดเป็นดินแดนสงบ ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ข้าพเจ้าเห็นเป็นสถานที่เหมาะควรแก่การบำเพ็ญภาวนา จึงขอให้ญาติโยมช่วยยกแคร่ปลูกเป็นร้านเล็ก ๆ
ญาติโยมบอกว่า จากถ้ำจันทน์นี้ถ้าจะมีบ้านเรือนผู้คนที่ใกล้ที่สุด ก็จะต้องเดินไปไม่ต่ำกว่า 100 เส้นโดยเป็นบ้านพวกข่า 2 หลังคาเรือนที่อพยพมาทำกินแถวนั้น ทางไปบิณฑบาตจะต้องเดินไปตามทางด่านหินซึ่งเป็นทางช้างเดิน และกว่าจะไปถึงทางเกวียนก็จะต้องต่อไปไกลอีก 20 เส้น
เขาปลูกร้านเสร็จแล้ว โยมคนหนึ่งออกสำรวจบริเวณโดยใกล้ก็กลับมาตามข้าพเจ้าไปดูและบอกว่า ห่างจากร้านที่ปลูกเสร็จประมาณไม่ถึงครึ่งเส้นนั้น เป็นถ้ำเสือแม่ลูกอ่อนมันมานอนที่นี่ทุกวัน ข้าพเจ้าก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก เสือก็เป็นสัตว์เราก็เป็นสัตว์เหมือนกัน อยู่ร่วมกันไม่เป็นไรตกเย็นญาติโยมเขาก็กลับกันหมดเหลือแต่ข้าพเจ้าคนเดียว พอพลบค่ำเสือมันก็กลับมาจากหากินจริง ๆ ได้ยินเสียงมันมาร้องครางใส่อยู่ใกล้ ๆ บางทีก็ได้ยินเสียงเดินแทบจะเข้ามาชิดกลดแต่ก็ไม่เห็นตัวมัน มันก็หากินไปตามภาษาของสัตว์ป่า มนุษย์ก็บำเพ็ญภาวนาไปตามภาษาของเพศบรรพชิต ข้าพเจ้าไปตั้งร้านแคร่อยู่ใกล้มันมากเกินไป วันรุ่งขึ้นมันก็คาบลูกพาหลบไปอยู่ตรงซอกเขาอีกแห่งหนึ่ง ห่างออกไปจากเดิมหน่อยหนึ่ง แต่ก็ยังได้ยินเสียงมันหยอกล้อกับลูกของมันอยู่ดี
ระยะแรกมาปักกลดอยู่ ไม่ได้ฉันอาหารถึง 4 วัน เพราะไม่ทราบจะไปบิณฑบาตที่ไหน จะไปบิณฑบาตกับพวกข่าก็พูดกันไม่รู้เรื่อง และเขาก็คงไม่ทราบว่าคนที่นุ่งเหลืองโกนผมนี้คืออะไร เมื่อถึงวันที่ 5 ตอนย่ำรุ่ง ข้าพเจ้านั่งสมาธิพิจารณาดูว่าใครที่ไหนที่พอจะได้ทำบุญในโอกาสเช่นนี้บ้างก็ทราบได้ว่าเป็นข่า 2 ครอบครัวนี้แหละจึงมุ่งหน้าไปบิณฑบาตที่บ้านข่า2ครอบครัวนั้น แม่บ้านของครอบครัวดังกล่าว กำลังนั่งหลามข้ามด้วยกระบอกไม้ไผ่อยู่หน้าบ้านเขามองข้าพเจ้าอย่างงง ๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าชี้ตรงข้าวหลามแล้วชี้ที่บาตร เขาก็เข้าใจ จากนั้นเขาก็ใส่บาตรให้เป็นประจำ ได้อาศัยบิณฑบาตรของเขาประทังชีวิตตลอดมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น